Details

Category: หอการค้า

Published: Sunday, 03 August 2014 22:47

Hits: 4238

ตั้ง สนช.หนุนเชื่อมั่นประเทศ หอการค้าหวังขับเคลื่อนมาตรการได้เร็วขึ้น

    บ้านเมือง : นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จำนวน 200 คน ทันตามโรดแม็พปฏิรูปประเทศระยะที่ 2 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. จะส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะดูจากโครงสร้าง สนช. ประกอบไปด้วยตัวแทนจากนักวิชาการภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งมีความหลากหลายในการดำเนินงาน และเรื่องเร่งด่วนคือการปรับแก้กฎหมายต่างๆ ให้ทันสมัย ทำให้สามารถขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ได้เร็วขึ้น และที่สำคัญหากมีการจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศ โดยใช้โครงสร้างเดียวกัน จะเอื้อให้การทำงานในด้านต่างๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการวางรากฐานเศรษฐกิจไทยในระยะยาว 5 ปีข้างหน้าได้

   อย่างไรก็ตาม มองว่าการแต่งตั้ง สนช. อาจจะไม่ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในสายตาต่างชาติระยะนี้ แต่ผลจากการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต น่าจะเป็นตัวชี้วัดมากกว่าหากผลการทำงานเป็นไปตามโรดแม็พที่ตั้งไว้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเรียกความเชื่อมั่นในอนาคตได้

  นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อวานนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 นั้นในส่วนของเศรษฐกิจไม่ได้เป็นปัจจัยมีผลกับเศรษฐกิจโดยตรง โดยโรดแม็พของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นไปตามแผน จากนี้ไปจะมีการตั้งรัฐบาล และอีกใน 1 ปี ประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมจัดการเลือกตั้ง

   นอกจากนี้ หากมีรัฐบาลแล้ว การเบิกจ่ายงบประมาณจะเป็นไปด้วยความต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา มีเงินไหลเวียนในระบบแล้ว 600,000-700,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากใน 2 ส่วนหลักๆ คือ งบค้างท่อกับงบประมาณปี 58 และปัจจัยที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนเชื่อมั่น ได้แก่ โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของประเทศ นอกจากนี้ สถานการณ์การส่งออกคาดว่าจะดีขึ้น โดยดูได้จากตัวเลขเดือนมิถุนายน และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว คาดว่าครึ่งปีหลังส่งออกจะขยายตัว 5-6% ทั้งปีโตที่ 2-3%

   นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนตัวไม่รู้สึกแปลกใจที่ประชาชนส่วนใหญ่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สิ่งที่จะตามมาคือ รัฐบาลชุดใหม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเมือง หรือความสัมพันธ์ได้หรือไม่ และการบริหารงานเศรษฐกิจจะสามารถทำได้ตามแผนระยะสั้นและกลางได้อย่างไร ส่วนความเคลื่อนไหวค่าเงินบาทนั้น อาจทรงตัวอยู่ที่ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับปกติ

  นางอัมพวัน พิชาลัย ที่ปรึกษาการพาณิชย์ และผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (CPI) เดือน ก.ค.57 อยู่ที่ 107.70 เพิ่มขึ้น 2.16% จากเดือน ก.ค.56 แต่ลดลง 0.08% จาก มิ.ย.57 ส่งผลให้ CPI เฉลี่ย 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.57) เพิ่มขึ้น 2.23% ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือน ก.ค.57 อยู่ที่ 104.94 เพิ่มขึ้น 1.81% จากเดือน ก.ค.56 และเพิ่มขึ้น 0.10% จาก มิ.ย.57 ส่งผลให้ Core CPI เฉลี่ย 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.57) เพิ่มขึ้น 1.51%

  สำหรับ ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มเดือน ก.ค.57 อยู่ที่ 113.16 เพิ่มขึ้น 4.18% จาก ก.ค.56 แต่ลดลง 0.18% จาก มิ.ย.57 ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าที่ไม่ใช่หมวดอาหารและเครื่องดื่ม อยู่ที่ 104.66 เพิ่มขึ้น 1.11% จากเดือน ก.ค.56 และลดลง 0.02% จาก มิ.ย.57

  อย่างไรก็ตามคาดว่า อัตราเงินเฟ้อในช่วงไตรมาส 3/57 จะเพิ่มขึ้น 2.4% และไตรมาส 4/57 จะเพิ่มขึ้น 2.5% ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีหลังเงินจะเพิ่มขึ้น 2.45% และทำให้ทั้งปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.35% ซึ่งต่ำกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2.4% โดยยังเป็นไปตามกรอบที่กระทรวงพาณิชย์วางไว้ที่ 2.0-2.8%

 นายคนิต ลิขิตวิทยาวุฒิ รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ไทยควรใช้สิทธิประโยชน์จากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ขยายการลงทุนในรูปแบบของความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีแหล่งวัตถุดิบที่เราต้องการเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า

  "การลงทุนในกลุ่มอาเซียนปีละกว่าแสนล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนการลงทุนกันเองของประเทศในกลุ่มอาเซียนแค่ 23% เท่านั้น เราไม่ได้ไปแข่งกันเอง แต่ร่วมมือกันไปแข่งกันนอกกลุ่มอาเซียน ไม่ใช่ไปแย่งใช้ทรัพยากร" นายคนิต กล่าว

  ทั้งนี้ ไทยได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค สามารถส่งสินค้าออกไปได้ทั้งทางบกและทางทะเล แต่สิ่งที่ต้องเตรียมความพร้อม ได้แก่ การยกระดับการผลิตเพื่อลดต้นทุน, การรับข้อมูลข่าวสาร, การศึกษาองค์ความรู้ใหม่ๆ, การรวมตัวจัดตั้งสถาบันเกษตรกร เช่น ชุมนุมสหกรณ์ เป็นต้น