WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

สัมภาษณ์ 'พ.อ.วินธัย'ศัตรูของชาติคืออะไร และเหตุใด'แซนด์วิช'ชู 3 นิ้ว'เป็นสิ่งต้องห้าม

 

 

 





สัมภาษณ์โดย : ฟ้ารุ่ง ศรีขาว 
ภาพ : ชัชวาลย์ นิจงาม , กิตยางกูร ผดุงกาญจน์, ณัตติพร ช่วยหนู
ภาพ/ลำดับภาพ : นัฐพงษ์ โห้เฉื่อย
      ในภาวะที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของชาติ เนื่องจากสังคมมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมือง ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
      ท่ามกลางเสียงเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” ที่ดูทันสมัยกว่าเพลง “หนักแผ่นดิน” หรืออีกหลายเพลงที่เปิดในช่วงแรกของการทำงานของ คสช. จนกระทั่ง ครบรอบ 1 เดือนในการปฏิบัติหน้าที่ของ คสช. ทำให้การแสดงออกทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ ปรากฏตัวน้อยลง  
      “มติชนออนไลน์” สัมภาษณ์ “พ.อ.วินธัย สุวารี” หรือ “เสธ.ต๊อด” รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผู้รับบทพระเอกาทศรถ หรือพระองค์ขาว พระอนุชาของ พระองค์ดำ หรือพระนเรศวรมหาราช ซึ่งรับบทโดย พ.ท.วันชนะ สวัสดี หรือ ผู้พันเบิร์ด ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในหลากหลายประเด็นทั้งการแสดงและการเมือง 
 
-ความประทับใจ ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
     ภาพยนตร์เรื่องนี้มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากภาพยนตร์ทั่วไปจะบอกว่าเป็นตลาดไหนหรือคนกลุ่มไหนค่อนข้างพูดยากเพราะว่าเป็นภาพยนตร์ในเชิงประวัติศาสตร์แล้วพระนเรศวรเป็นที่รู้จักของคนไทยซึ่งคนไทยเคารพ  
    หนังเรื่องนี้ เนื่องจากมีความแตกต่าง และที่สำคัญอีกอย่างคือเป็นเรื่องที่แสดงถึงวัฒนธรรม มีเรื่องของสถาบันและก็มีเรื่องอัตลักษณ์ประเพณีแบบธรรมเนียมอะไรต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ  ซึ่งก็เหมาะสำหรับคนไทยที่จะได้ดู เพราะก็คงมีภาพยนตร์ลักษณะนี้ไม่เยอะ ฉะนั้น จุดเด่นๆ เป็นข้อแตกต่าง ซึ่งน่าจะทำให้ตัวหนังได้รับความสนใจ  
  
-ในฐานะนักแสดงมองฉากไหนประทับใจที่สุด 
     ที่จริงแล้วก็ประทับใจทุกฉากอย่างในตอนสุดท้ายการถ่ายทำร่วมกับช้างก็ดูน่าประทับใจตอนแรกก็นึกว่าเป็นเรื่องที่ง่ายแต่พอรู้ก็พบว่าองค์ประกอบมีหลายอย่างที่ต้องมีความสัมพันธ์กันพอสมควรกว่าจะได้ภาพออกมาให้คนดูดูแบบนั้น 
  
-เสธ.ต๊อดในชีวิตจริง เป็นรุ่นพี่ของผู้พันเบิร์ด แต่รับบท พระเอกกาทศรถซึ่งเป็นน้องของพระนเรศวร รู้สึกอย่างไรและดูหนุ่มมากดูแลตัวเองอย่างไร
    เราก็ต้องรู้สึกไปตามตัวละครเหมือนโจทย์ที่เราได้รับมันก็สร้างจินตนาการความรู้สึกได้เวลาอยู่ในช่วงการถ่ายภาพยนตร์จริงๆความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้อง ใครพี่ใครน้อง เราก็ไม่ได้ถือว่ามันแตกต่างอยู่แล้ว ตรงนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
    ส่วนการดูแลตัวเอง ตรงนี้จริงๆ แล้ว ไม่ได้ดูแลเลย อาจจะเป็นเพราะมันเป็นตามธรรมชาติส่วนหนึ่งมากกว่า ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ 
 
-ในอนาคตจะมีงานแสดงออกมาอีกไหมคะ
     ตรงนี้ก็คงยากอยู่เหมือนกันเพราะเวลาในขณะนี้ค่อนข้างจะต่างจากเดิมสภาพแวดล้อมต่างไปแล้วจริงๆ แต่เดิม เริ่มจากทางกองทัพบกที่ให้การสนับสนุนพื้นที่และให้นักแสดงด้วย 
       ผมกับเบิร์ดเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นตัวแทนกำลังพลของกองทัพบกเข้าไปในลักษณะนั้นซึ่งผู้บังคับบัญชาก็สนันสนุนเพื่อให้ผลิตผลงานชิ้นนี้ให้คนไทยได้ชมกัน เหมือนเป็นการทำประวัติศาสตร์ให้กับคนไทย โดยเอาประวัติศาสตร์ มาสร้างเป็นประวัติศาสตร์ให้กับคนไทย ประวัติศาสตร์ของการทำหนัง ทำหนังใหญ่ที่จะทำให้คนได้ระลึกถึงบรรพบุรุษ 
 
 
-ตอนถ่ายทำ เคยคิดไหมว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกฉายในบรรยากาศที่ทหารเข้ามาดูแลความสงบของประเทศ 
 
ที่จริงไม่ได้คิดอะไรเลยเพียงแต่ว่าโดยส่วนตัวเราเป็นทหารอยู่แล้วเราคิดว่าการเข้ามาทำงานในลักษณะแบบนี้น่าจะทำให้ประชาชนรู้สึกดีขึ้นอยู่แล้ว ฉะนั้น บรรยากาศไหน ก็ทำให้การชมภาพยนตร์ไม่แตกต่างไปจากเดิม ยังคิดว่าถ้าเป็นในช่วงบรรยากาศนี้ มันทำให้อย่างการจราจรก็สะดวกยิ่งขึ้นด้วย แล้วก็ความรู้สึกกันในทางสังคมก็ดูเหมือนเป็นบวกดูดีขึ้น
 
 
-การจราจรสะดวกหมายถึงไม่มีการชุมนุม 
 
ไม่มีการชุมนุมแล้วและดูทุกอย่างก็สบายๆนะมีความเรียบร้อยดีและที่สำคัญ คนก็มีความรู้สึกว่าเขามีความปลอดภัย
 
 
-ขนาดประชาชนธรรมดาดูภาพยนตร์พระนเรศวรแล้วยัง"อิน"ได้ขนาดนี้ ถ้าทหารดูจะอินขนาดไหน 
 
ที่จริงแล้ว อาชีพทหารไม่น่าจะแตกต่างกัน ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน รูปแบบวิธีการเหมือนกันหมด วิธีคิด วิธีทำงานผมว่าเหมือนกัน เพียงแต่ว่าองค์ประกอบอื่นๆ มากกว่าที่แตกต่างกัน เช่น เรื่องยุโธปกรณ์ เรื่องยานพาหนะ นอกจากนั้นไม่น่าจะหนีหลักการเดียวกัน ยุทธวิธีเองก็ยังคล้ายคลึงกันบางอย่าง หลักการจะคล้ายคลึงกัน 
 
หลักการยุทธวิธี ก็หมายความว่า อย่างในตำนานสมเด็จพระนเรศวร ก็ถ้ากำลังน้อยกว่า ยุทธวิธีในการที่จะรบทำยังไงถึงจะให้ได้เปรียบในการทำสงคราม ก็จะคล้ายๆ กัน มันก็ต้องแอบตี หรือจะเข้าตีก็ต้องเป็นช่วงเวลาที่ข้าศึกนั้นอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่พร้อม จริงๆ หลักมันเป็นหลักเดียวกัน  แต่อาวุธที่ใช้สมัยก่อน ก็อาจจะเป็นเรื่องของ ดาบ หอก ธนู ปืนสมัยนี้ก็เป็นปืนเล็ก ปืนใหญ่ เป็นจรวด 
 
พาหนะ เดี๋ยวนี้ก็เป็นรถถังเป็นรถยนต์ สมัยก่อนก็เป็นม้า เป็นช้าง แล้วแต่ลักษณะ ถ้าเกิดสมัยก่อนม้าก็หมายถึงว่า ก็เปรียบเทียบเป็นรถถังเพราะมีกำลังชน และเคลื่อนที่ได้เร็ว ส่วนช้างก็เหมือนเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่มีอุปกรณ์อยู่บนนั้นเยอะ แต่ว่าเคลื่อนที่อาจจะช้าหน่อยหนึ่ง แต่ว่าก็สามารถจะขนพาอาวุธไปได้เยอะ เป็นลักษณะนี้ ถ้าเปรียบเทียบให้คล้ายคลึงกันที่สุด 
 
 
-ในแง่อุดมการณ์
 
ตามหลักการของทหารเพื่อชาติศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน 
 
 
-ศัตรูของชาติในปัจจุบัน มีความแตกต่างจากยุคในภาพยนตร์นเรศวรอย่างไร 
 
ผมเองไม่ได้มองถึงตรงนั้นนะเพียงแต่ว่ารู้แต่ว่าสังคมในปัจจุบัน รูปแบบในการต่อสู้ เพื่อที่จะให้สังคมหรือในส่วนตัวดำเนินชีวิตต่อไป มันก็คงมีหลายๆ องค์ประกอบด้วยกัน ปัจจุบันนี้ก็มีทั้งเรื่องระบบเศรษฐกิจ อาจจะมองในแง่การต่อสู้กันของเศรษฐกิจของผลประโยชน์ระหว่างกันก็ได้ 
 
แต่ก่อนอาจจะเป็นประเทศรอบข้างหรือคนในสังคมอื่นแต่ปัจจุบันก็อาจจะเปลี่ยนแบบไปแต่ก็ยังคงมีลักษณะเดิมก็คือ บางทีอาจจะเพื่อให้ได้มาเพื่อผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ น่าจะเป็นลักษณะแบบนั้น คือแข่งกันทำการค้าในปัจจุบัน  เพื่อให้คนในประเทศ ให้คนในสังคมนั้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น น่าจะเป็นแบบนั้น 
 
 
-แข่งขันทางเศรษฐกิจ หมายถึงการแข่งขันระหว่างประเทศ 
 
ใช่ครับ หมายถึงว่าทุกคนก็คงจะทำให้คนในสังคมตัวเองนั้น ในประเทศตัวเองนั้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  
 
 
-ความคิดที่แตกต่างกัน จัดว่าเป็นศัตรูหรือไม่ 
 
เราไม่อยากเรียกว่าเป็นศัตรู ความคิดที่แตกต่างต้องถือว่าเป็นการยอมรับกันให้ได้ แต่ความแตกต่างนั้นจะยอมรับและอยู่กันอย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาจริงๆ ในอดีต ก่อนนั้นมานาน ก็เห็นว่ามีความแตกต่าง แต่เขาก็สามารถที่จะดำเนินชีวิต หรือใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเดียวกันได้  
 
แต่ปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนไป พอเห็นต่างแล้วบางทีไปนำมาซึ่งความรุนแรงอันนี้เป็นเรื่องที่อันตราย แต่หลังจากนี้ไปเชื่อว่าทุกฝ่ายน่าจะดีขึ้น สัญญาณจากที่เราเห็นอยู่ในสภาพปัจจุบันน่าจะดีขึ้น  
 
 
-บางคนมองว่า "โลกคือละคร" และใน "การเมือง" ก็มี "การแสดง" อยู่ด้วย  ในฐานะ เสธ.ต๊อด มีประสบการณ์งานแสดงและขณะนี้งานหลักก็เกี่ยวข้องกับการเมือง มอง 2 เรื่องนี้อย่างไร
 
ผมว่าจริงๆ แล้วเนี่ย ทุกอย่างมันคือชีวิตจริงแล้ว อาจจะแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนนะ ระบบการเมืองเองก็ต้องเข้าใจว่า จริงๆ ผู้ที่เข้าสู่ระบบการเมือง ก็ต้องเป็นผู้เสียสละอยู่แล้ว ฉะนั้น ทุกๆ อาชีพก็ต้องมีรูปแบบลักษณะเฉพาะของตัวเอง มันน่าจะเป็นเรื่องของความเป็นจริงทั้งหมดแล้ว มันต้องอยู่กับความเป็นจริง
 
ส่วนการแสดง เป็นเรื่องของการจำลองในช่วงเวลาที่เราต้องการจะสื่อสาร เวลาแสดง เราก็ต้องจินตนาการว่ามันเป็นเรื่องจริง คนละแบบกันกับการแสดงซึ่งเป็นการสร้างผลงานไปนำเสนอ 
 
 
-เบื้องหลังการทำงานของทีมโฆษก คสช.  
 
องค์ประกอบการทำงานหลักๆ จะมีอยู่ 3 กลุ่ม การทำงานเป็นเรื่องการติดตาม การเตรียมข้อมูลการประมวลผลและการเผยแพร่ออกไป โดยโฆษกอยู่ในส่วนเผยแพร่ แล้วเราก็ต้องเตรียมการข้อมูลที่ถูกต้อง  การติดตามก็ต้องติดตามดูว่า สิ่งที่มีความไม่เข้าใจคืออะไร สิ่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงคืออะไร ซึ่งการติดตามก็ติดตามได้หลายทาง ติดตามผ่านสื่อ  หรือบางทีริเริ่มเอง ก็คือ ผู้บังคับบัญชามอบนโยบายเชิงรุกมาให้ เช่น ท่านอาจจะคาดเดาว่าในอนาคต สัปดาห์หน้า น่าจะมีความไม่เข้าใจในเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราก็เตรียมทำการบ้านรอไว้ หรือเราอาจจะเผยแพร่ไปก่อนก็ได้ถ้าเรามีความพร้อม จะเป็นลักษณะนี้  ผู้บังคับบัญชาจะเป็นคนควบคุมนโยบาย
 
 
-ในมุมของทหาร มองงานประชาสัมพันธ์แตกต่างจาก propaganda หรือ โฆษณาชวนเชื่ออย่างไร 
 
การประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องข้อมูล ข้อเท็จจริง มีหลักการเหตุผลมีหลักฐานอ้างอิงที่ชัดเจน  ส่วนการโฆษณาชวนเชื่อก็คือ ไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบอะไรเลยเพียงแค่นำเสนออะไรก็ได้  ซึ่งไม่มีที่มา ไม่มีหลักฐาน ไม่มีข้อพิสูจน์ 
 
 
-ยืนยันว่าการทำงานของทีมโฆษกไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ 
 
ทีมโฆษกทำโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้เพราะเราสื่อสารในลักษณะทางเปิดเราพร้อมที่จะรับคำถามจากข้อสงสัยแต่การโฆษณาชวนเชื่อเป็นการปล่อยทางเดียวก็คือปล่อยแล้วให้กระแสเป็นตัวนำพาส่วนทีมงานประชาสัมพันธ์ต้องมีข้อมูล ข้อเท็จจริงเป็นหลัก
 
 
-อย่างที่เห็นคือ เสธ.ต๊อด พร้อมจะตอบได้ทุกเรื่อง 
 
ใช่ครับ เราต้องตอบได้ทุกเรื่อง ถ้าตอบไม่ได้วันนี้ เราต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วก็นำมานำเสนอทีหลังแต่มันก็ต้องมีที่มาที่ไปทั้งหมด แต่ข่าวลือ กับ การโฆษณาชวนเชื่อนั้น ไม่จำเป็นต้องมีที่มาอะไรเลย   
 
-หลัง คสช. เข้าควบคุมอำนาจการใช้เวลาส่วนตัวเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ได้ไปเล่นกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่างที่ชอบส่วนตัวหรือไม่ 
 
น้อยลง คือได้ไปให้กำลังใจการแข่งขันเจ๊สกีครั้งเดียว แค่ไปทักทาย ค่อยๆ ปรับไป แต่ก็ไม่ได้หนักใจอะไร เพราะเราเองก็เตรียมใจอยู่แล้ว เพราะผู้บังคับบัญชาก็ยังเหนื่อยกว่าเราเยอะ  
 
 
-เสธ.ต๊อด มีความสุขไหมคะ
 
มีความสุขครับผม มีความสุขครับ 
 
 
-มีความสุขกับงาน 
 
ด้วยอาชีพเราเราได้ทำงานอย่างเต็มที่ตอบสนองผู้บังคับบัญชาอย่างเต็มที่ทำงานในสิ่งที่เราควรจะทำเราก็ถือว่าถ้าเราทำได้  แล้วงานมีความสมบูรณ์มากที่สุดเราก็มีความสุข ถ้างานสมบูรณ์ไม่ได้เป้าหมายตามที่เราตั้งไว้ เราก็อาจจะมีความสุขน้อยหน่อยลักษณะแบบนี้ 
 
 
-คสช. จะควบคุมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อย่างไรจากกรณีมีคลิปปรากฏการควบคุมตัวนักศึกษาโดยมีการใช้ความรุนแรงอย่างการตบต่อย
 
คือที่จริงแล้วเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่หลายแสนคนในปัจจุบัน แต่ทีนี้ ในรายละเอียดของแต่ละบุคคล ถ้าเป็นระดับบุคคลนั้น บางครั้งก็ยอมรับว่าอาจจะมีอะไรที่ยังไม่เหมาะสมบ้าง แต่จริงๆ แล้ว เราต้องแบ่งแบบนี้ว่า อาจจะไม่ได้ผิดกฎหมาย อาจจะไม่ได้เกินกว่าเหตุ แต่ว่าความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันบางทีต้องคำนึง ซึ่งตรงนี้เองก็เชื่อว่าทุกหน่วยน่าจะทราบข้อมูลดี ก็คงจะต้องมีการปรับไปในส่วนที่ยังบกพร่องอยู่ หรืออะไรที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่   
 
 
-ถ้าประชาชนถูกกระทำแบบนั้นแล้วเขารู้สึกว่าเกินกว่าเหตุจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง
 
ทุกอย่างท่านสามารถที่จะร้องเรียนได้แล้วผู้บังคับบัญชาในปัจจุบันให้ความเป็นธรรมโดยเฉพาะถ้ามีข้อสงสัยกับตัวเจ้าหน้าที่ ยิ่งจะต้องให้ความเป็นธรรมและจะต้องมีการปฏิบัติหรือแก้ไขให้อย่างแน่นอน    
 
 
-การควบคุมตัวบุคคลที่ไปรายงานตัว เหตุผลที่ไม่เปิดเผยว่าควบคุมตัวไปที่ไหน เพราะอะไร 
 
เพราะหลักๆ บางครั้งแต่ละท่าน โดยเฉพาะระดับแกนนำ หรือคนที่มีส่วนร่วมในความขัดแย้งเดิม ค่อนข้างจะมีกลุ่มคนรวมถึงญาติพี่น้อง หรือ ถ้าเรามองอีกแง่หนึ่งก็คืออาจจะมีคนที่ไม่เห็นด้วย คนที่ไม่ชอบ มันเป็นอันตรายที่เจ้าหน้าที่จะต้องดูแล แล้วอยู่ในความรับผิดชอบเจ้าหน้าที่ อย่างที่บอกแล้วเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเพียงสั้นๆ เพราะฉะนั้น ตรงนี้ น่าจะทำให้ระบบบริหารจัดการง่ายกว่า แล้วประโยชน์ที่แท้จริงน่าจะเกิดกับคนที่ถูกเชิญเข้าพื้นที่พิเศษเองด้วย แล้วบางท่านก็อาจจะอยากใช้เวลา ใช้สมาธิ อยู่กับความสงบไม่ต้องมีอะไรมารบกวน ไม่ว่าใครจะมาตำหนิต่อว่า หรือให้กำลังใจ
 
บางครั้งทุกท่านอยู่ในช่วงเวลา เหมือนเราท่องหนังสือเตรียมสอบ บางทีเราต้องการเวลา และเราต้องการพื้นที่ของเราเอง
 
 
-มองสถานการณ์สิทธิมนุษยชน และความจำเป็นที่จะต้องรักษาความสงบ เช่น การเรียกตัว หรือควบคุมตัว ทั้ง 2 สิ่งนี้จะไปด้วยกันอย่างไร
 
ต้องเริ่มอย่างนี้ว่า การเข้าควบคุมอำนาจเป็นการรักษาสิทธิมนุษยชนของหลายคน ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้น หลายท่านอาจจะมองว่า เป็นการแสดงออกเชิงประชาธิปไตย มันแล้วแต่จะมองมุมไหน ขณะนี้มุมยังต่าง มันจึงเป็นที่มาว่า ต้องจัดให้เหลือมุมมองที่ใกล้เคียงกันให้มากที่สุด 
 
เพราะฉะนั้น การที่สมัยก่อน จะมีการแสดงออกทางประชาธิปไตยแต่นำมาซึ่งการสูญเสีย มันเป็นการละเมิดสิทธิคนอื่น ละเมิดชีวิตคนอื่น ตรงนี้ก็ถือว่าไม่ได้ เพราะฉะนั้น หลักการของสิทธิมนุษยชน เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่คำนึงถึงตลอด ให้ความสำคัญกับตรงนี้มาตลอด เพราะฉะนั้น การดำเนินการใดๆ ในปัจจุบัน ถ้ามองในภาพที่คนพูดถึงมากที่สุด ในเรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องการเชิญรายงานตัว ซึ่งการเชิญรายงานตัว ในขณะที่เชิญมารายงานตัว ทุกขั้นทุกตอน เรามีระบบการบันทึก เรามีระบบการทำงานที่โปร่งใส แล้วเราก็สามารถที่จะให้ข้อพิสูจน์ได้      ในระดับเวลาหนึ่งผ่านไป ถ้าสังคมมีความสงสัย เราก็ยังจัดหาหนทางประชาสัมพันธ์ให้เห็น
 
แล้วเราไม่ได้ประชาสัมพันธ์ในทางเดียว เราก็พยายามชี้ให้เห็นถึงการสื่อสารว่า ผู้ที่อยู่ในขบวนการนั้นมีทัศนคติและแนวความคิดอย่างไร ถึงแม้อยู่กับเราไม่ได้สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่ท่านก็อยู่กับเราเหมือนฉันญาติมิตรอยู่แล้ว เพราะแนวทางของ คสช. ไม่ได้มีแนวทางที่จะเป็นมาตรการบังคับ 100 เปอร์เซ็นต์  หรือเป็นมาตรการที่จะส่อไปให้เห็นถึงความรุนแรง หรือเพิ่มเติมขยายความขัดแย้ง ส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ จะไม่มีการใช้แนวทางนั้น   แต่ภาพของคนที่ไม่ได้สัมผัสหรือไม่ได้ลึกซึ้งในข้อมูลจริง   อาจจะอยู่ในช่วงของการประเมินเอง แต่ผู้ที่มีโอกาสสัมผัสก็จะทราบดีว่าไม่ได้เป็นลักษณะแบบนั้น
 
-มองว่าก่อนหน้านี้การใช้เสรีภาพของบางคนหรือบางกลุ่มไปกระทบสิทธิของคนอื่น 
 
ครับกระทบแน่นอนอย่างน้อยการใช้สิทธิบนถนนมีความไม่เท่าเทียมกัน บางกลุ่มอาจจะใช้อยู่กลุ่มเดียวเป็นลักษณะแบบนี้ เพราะฉะนั้น เรามั่นใจว่าหลักสิทธิมนุษยชนที่หลายๆ คนกังวล เราสามารถจะชี้แจงตอบได้ เป็นข้อๆ เลย  ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการเริ่มต้นของการเข้าควบคุมอำนาจ หรือการดำเนินการในช่วงระดับการปฏิบัติในแง่ของการเชิญให้มีการรายงานตัว แล้วการเชิญรายงานตัว ก็ทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเอง   บางท่าน ทาง คสช. จะเพียงแค่รับรายงานตัวแล้วก็ขอความร่วมมือแล้วท่านเองก็สามารถที่จะกลับบ้านได้ บางท่านเราจำเป็นต้องใช้เวลาสักนิดหนึ่ง เพื่อที่จะให้มีการพูดคุยเพื่อที่จะปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน และที่สำคัญคือการหาแนวร่วม ที่จะมาร่วมกันพัฒนา  ให้กับประเทศชาติในอนาคต อันนี้คือ จุดมุ่งหมายหลัก 
 
ไม่ใช่ต้องการที่จะมาควบคุม ถ้าจะควบคุม ในเชิงผู้กระทำความผิด ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ ซึ่งถ้าสังคมเป็นธรรมจริง จะต้องแยกแยะในสิ่งเหล่านี้ได้ 
 
 
-การแสดงสัญลักษณ์ เป็นหนึ่งในวิธีการที่ได้รับการยอมรับตามหลักการสันติวิธี แต่ยุคนี้ทำไม คสช. จึงเข้มงวดการห้ามแสดงสัญลักษณ์ 
 
ที่จริงส่วนใหญ่เป็นการรณรงค์มากกว่าไม่ได้ห้ามในการแสดงสัญลักษณ์เพียงแต่ว่าเจตนาของการแสดงนั้นเพื่ออะไรจำนวนคนนั้นเป็นอย่างไร   บางครั้ง ถ้าเราเล่นเอาเฉพาะคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรมาตั้งแง่กันก็อาจจะไม่ใช่ 
 
 
-เช่นสัญลักษณ์การชู3 นิ้ว หรือ รับประทานแซนด์วิช 
 
ชู 3 นิ้ว จริงๆ แล้ว น่าจะชูได้ สัญลักษณ์ "ผมรักคุณ" หรือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราก็เป็น 3 สัญลักษณ์ได้ แต่ว่าการชู ถ้าอยู่ในองค์ประกอบ ในพื้นที่บางพื้นที่ แล้วก็มีจำนวนคนเกิน ส่งผลให้คนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีความรู้สูง ก็มองได้ว่า ต้องการ หรือมีเจตนารมย์ที่มาแสดงออกนั้นเพื่ออะไรต้องการอะไร จริงๆ แล้ว วันนี้เราคงไม่ได้มองแค่สัญลักษณ์เพียงแค่ 3 นิ้ว เราต้องมองให้ครบครับ  
 
 
-คสช. ไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบ?
 
ในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เรากำลังสร้างบรรยากาศแล้วมาตรการต่างๆของคสช.ไม่ใช่มาตรการระยะยาว วันนี้ การแสดงออกที่ต้องระมัดระวัง เพราะมันยังอยู่ในช่วงเวลาพิเศษเท่านั้นเอง ช่วงเวลาปกติอยู่อีกไม่ไกล ไม่ได้เป็นมาตรการถาวร หลายท่านอาจจะเข้าใจผิด มาตรการในวันนี้ไม่ใช่มาตรการถาวร
 
 
-หลายคนสงสัยว่า แซนด์วิช กับ ชู 3 นิ้ว เป็นอันตรายได้อย่างไร 
 
ถ้าตัวแซนด์วิช ไม่อันตรายกับ หลายๆ ท่านเองก็ยังชอบทานอยู่ 3 นิ้วก็ยังแสดงออกอยู่  เพียงแต่องค์ประกอบที่ให้คนมอง บางครั้งพูดไม่ครบองค์ประกอบ ถ้าสื่อสารกันครบองค์ประกอบจริง ท่านจะต้องดูว่า 3 นิ้วนั้น ท่านอยู่ในสภาพแวดล้อมไหนใช่ไหมครับ 
 
-มาตรการที่ไม่ถาวรนี้ น่าจะเวลาสักเท่าไหร่คะ 
 
คือขณะนี้กรอบเวลาของ ทางหัวหน้า คสช. ท่านก็บอกแล้วว่า เรามีกรอบระยะเวลา ระยะที่หนึ่ง ระยะที่สอง ระยะที่สามชัดเจน ขณะนี้ อยู่ในช่วงเวลาระยะที่ 1  เพิ่ง 1 เดือนเอง ผ่านพ้น 1 เดือนมา ตรงนี้จะอยู่ไม่เกิน 3 เดือน ต้นเดือนกันยา จะเข้าสู่ระยะที่ 2 ซึ่งจะมีรายละเอียดในระยะที่ 2 เองพอสมควร ซึ่ง ระยะที่ 3 จะอยู่ในระดับปกติ 
 
 
-สัญลักษณ์ต่างๆ น่าจะแสดงได้ในระยะที่เท่าไหร่ 
 
ที่จริงแล้วสัญลักษณ์ ท่านไม่ได้บอกว่ามีข้อกำหนดห้ามแสดง แต่มองที่ภาพรวมของการแสดง เราต้องมองว่าสัญลักษณ์ที่แสดงนั้น อยู่ในบรรยากาศไหน สภาพแวดล้อมไหน และจุดมุ่งหมายที่คนอื่นสัมผัส โดยการมองเห็นแล้ว เขารู้สึกอย่างไร เอาตัวนี้เป็นองค์ประกอบ
 
 
-วัตถุประสงค์ไม่อยากให้เห็นว่าสังคมแตกแยก
 
ใช่ครับคือบรรยากาศแบบนี้เป็นบรรยากาศที่เราใช้เวลาแตกแยกกันมานานแล้วทุกคนก็ทราบแล้วก็ไม่ได้มีความสุขอะไรแล้วบรรยากาศแบบนี้ เราก็ได้รับสัญญาณที่ดี จากทุกๆ ฝ่าย มากกว่า  99 % เราเห็นสัญญาณที่ดีแล้ว ทีนี้แสดงว่าทุกท่าน คนส่วนใหญ่เข้าใจ เหลือส่วนน้อยมากที่ไม่เข้าใจ ก็พยายามตั้งแง่ด้วยมุมมองส่วนตัวของตัวเอง ตรงนี้วันนี้ เราอยากจะบอกว่า ทุกคนเสียสละหมด เราเสียสละ แค่ไม่ต้องแสดงสัญลักษณ์ เราไม่เสียหายอะไรครับ ถ้าประเทศชาติได้   
 
 
-การแสดงความคิดเห็นเป็นองค์ประกอบหนึ่งของประชาธิปไตยแต่วันนี้อาจจะไม่ใช่
 
ถ้าเรามองว่าประชาธิปไตยเราถามว่ากฎหมายประเทศมาเลเซียถ้าท่านมีอาวุธสงคราม ก็มีโทษประหารชีวิต ทุกประเทศ เป็นประชาธิปไตยครับ แต่บางครั้ง มันยังมีกรอบ ข้อกำหนดบางอย่าง เพื่อให้สังคมดำเนินอยู่ได้ แต่ความหมายของประชาธิปไตยจุดเริ่มต้น ไม่ได้เจาะลงรายละเอียดนั้น เพียงแต่อยากให้สิทธิในการแสดงออก  ในการมีส่วนร่วม  ทางด้านการปกครองให้กับประชาชน เท่าเทียมกันเท่านั้นเอง เพื่อการปกครองเป็นหลักก่อน 
 
แต่ถ้ารายละเอียดระดับบุคคล ท่านบอก ท่านอยากใช้สิทธิเสรีภาพ ท่านอยากไปแก้ผ้าเดินอยู่กลางถนน บางทีมันมีกรอบ ข้อกำหนด 
แม้แต่ขอทาน ก็มีกฎระเบียบอยู่ ท่านไม่สามารถจะไปกีดขวางทางจราจรได้ แต่เจ้าพนักงานตำรวจ ก็ต้องใช้ดุลยพินิจในการที่จะใช้บังคับอะไร กับเขา เพราะฉะนั้น ขอให้แยกแยะ จะต้องมีความเป็นธรรมในการจะสร้างความรู้สึกให้กับสังคมร่วมกัน 
 
 
-หมายความว่าจะใช้เสรีภาพก็ต้องดูบริบทของสังคมตอนนี้ด้วยว่าทำได้แค่ไหน
  
ครับผมเพราะยังไงแม้แต่สังคมประชาธิปไตย ก็ยังมีเรื่องของหน้าที่ ระเบียบวินัยอยู่ดีครับ  ทุกคนต้องมีหมด นักศึกษา นักเรียนก็ยังคงต้องใส่เครื่องแบบ  จะเอาประชาธิปไตยมาแล้วบอกว่า ประชาธิปไตยไม่ต้องอยู่ในกฎระเบียบ อันนี้น่าจะคนละส่วน เพียงแต่ว่าท่านน่าจะได้แสดงสิทธิ แสดงเสียง ใช้สิ่งที่ท่านมี กับกระบวนการเพื่อนำไปสู่ระบบการปกครอง อันนี้ ผมว่าน่าจะใช่

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!