WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

วันที่ 05 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8835 ข่าวสดรายวัน


ได้ตัวแล้ว มือโพสต์แถลงการณ์เก๊ 
หนุ่มนักดนตรีเพชรบูรณ์ ให้การยัน-แค่เผยแพร่ต่อ ไม่ใช่ต้นตอปลอมแปลง


จนมุม - นายกฤษณ์ บุตรดีจีน ผู้ต้องหาปลอมแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ถูกตร.จับกุมได้ที่บ้านพักใน จ.เพชรบูรณ์ ก่อนคุมตัวมาสอบสวนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สารภาพอ้างนำแถลงการณ์ปลอมจากเพื่อนมาโพสต์ต่ออีกทอดหนึ่ง เมื่อวันที่ 4 ก.พ.

      รวบหนุ่มนักดนตรี มือโพสต์แถลง การณ์สำนักพระราชวังปลอม ทหาร-ตร.ตามแกะรอยไปได้ตัวที่เพชรบูรณ์ หิ้วมาสอบเค้นในค่ายทหาร ร.11 รอ. ขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการ เบื้องต้นดำเนินคดี 2 ข้อหา หมิ่นสถาบันตามม.112 กับผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ สอบสวนยังไม่พบเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดี 112 ก่อนหน้านี้ เจ้าตัวให้การยันแค่โพสต์ลงโซเชี่ยลมีเดียต่อๆ กันมา ไม่ใช่ตัวการปลอมแปลงเอกสาร 

    มื่อวันที่ 4 ก.พ. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. และโฆษกตร. เปิดเผยความคืบหน้าการติดตามตัวผู้จัดทำและเผยแพร่แถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอม ซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อค่ำวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า จากการตรวจสอบเส้นทางที่มาของการเผยแพร่แถลงการณ์ดังกล่าว ได้เบาะแสพอสมควร ซึ่งรู้กลุ่มผู้ส่งเป็นกลุ่มคนแรกๆ แล้ว โดยเผยแพร่ผ่านทางไลน์ เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ พบมีการส่งก่อนเวลา 21.00 น.มาจากในประเทศไทย ต้นทางอยู่ต่างจังหวัด ส่วนจังหวัดใดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่พบความเชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันที่จับกุมดำเนินคดีก่อนหน้านี้ โดยกลุ่มดังกล่าวไม่ใช่คนกลุ่มใหม่ แต่เป็นพวกที่มีแนวคิดต่อต้านสถาบันเบื้องสูง คาดว่าภายใน 1-2 วันนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น

      ต่อมาพล.ต.ท.ประวุฒิเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ปลอมแถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 13 และมีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์ได้แล้ว โดยเป็นชายหนุ่มชาวจ.เพชรบูรณ์ มีอาชีพนักดนตรี ตอนนี้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาสอบสวนที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) และเตรียมนำมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ เจ้าหน้าที่สอบสวนและขยายผลถึงผู้เกี่ยวข้อง เบื้องต้นเตรียมดำเนินคดี 2 ข้อหา ประกอบด้วย ข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารพร้อมด้วยตำรวจนำตัว ผู้ต้องหารายนี้มาควบคุมตัวไว้ภายในร.11 รอ. โดยมี พ.อ.สุชาติ พรมใหม่ ผบ.ร.11 รอ. และนายทหารระดับสูงร่วมกับตำรวจสอบปากคำ ผู้ต้องหาอย่างเคร่งเครียด เพื่อขยายผลคดี และผู้ที่ร่วมกระทำความผิด

     ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. สั่งการหน่วยงานด้านความมั่นคง ผ่านทางพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม และพล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและผบ.ทบ. ในที่ประชุมครม. ให้เร่งติดตามตัวผู้เผยแพร่แถลงการณ์สำนักพระราชวังปลอมโดยด่วน เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจึงได้ประสานงานด้านการข่าวแล้วระดมทีมผู้เชี่ยวชาญออกติดตามแกะรอย กระทั่งทราบว่าแถลงการณ์ปลอมดังกล่าวได้โพสต์ลงโซเชี่ยลมีเดียใน พื้นที่จ.เพชรบูรณ์ เจ้าหน้าที่จึงสนธิกำลังเข้าจับกุมแล้วควบคุมตัวมาสอบสวนขยายผลที่ ร.11 รอ. กทม. โดยผบ.ร.11 รอ. รายงาน ผลการจับกุมให้ผบ.ทบ.รับทราบในทันที จากนั้นผบ.ทบ.ได้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงรับทราบตามลำดับชั้น

     เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เจ้าหน้าที่ทหารนำตัวนายกฤษณ์ บุตรดีจีน ผู้ต้องหากระทำความผิดปลอมแปลงเอกสารแถลงการณ์สำนักพระราชวัง สร้างความเสื่อมเสียต่อสถาบันเบื้องสูง และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาส่งมอบให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากจับกุมได้ที่จ.เพชรบูรณ์ โดยมีพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พร้อมด้วยพล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร. และพล.ต.ท. ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกตร. เป็นผู้รับมอบตัว และร่วมกันสอบปากคำด้วยตัวเอง ทั้งนี้ผบ.ตร.ใช้เวลาสอบปากคำ ผู้ต้องหาประมาณ 10 นาที ก่อนส่งตัวผู้ต้องหาคืนให้เจ้าหน้าที่ทหารนำกลับไปควบคุมภายใต้อำนาจกฎอัยการศึก

     พล.ต.อ.สมยศ กล่าวภายหลังสอบปากคำว่า ผู้ต้องหารายนี้ทหารจับกุมได้ที่จ.เพชรบูรณ์ ชื่อนายกฤษณ์ บุตรดีจีน อายุ 25 ปี ผู้ต้องหาได้กระทำผิดด้วยการโพสต์ข้อความมิบังควรผ่านอินเตอร์เน็ต ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนขยายผล เบื้องต้นผู้ต้องหารับสารภาพว่านำข้อความดังกล่าวมาโพสต์ลงในเฟซบุ๊กของตนเองอีกต่อหนึ่ง โดยรับข้อมูลมาจากเพื่อน ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การว่ามีสมาชิกในเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ประมาณ 4-5 พันคน โดยมีเจตนาเพื่อให้สมาชิกรับทราบข้อความ ซึ่งตรงกับข้อมูลของตำรวจ ซึ่งกำลังตรวจสอบว่ามีการเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นอีกหรือไม่ เท่าที่ผู้ต้องหาให้การทราบว่าเป็นสมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. และยังเคลื่อนไหวแสดงความเห็นภายในกลุ่มสมาชิกด้วยกันอยู่ตลอด โดยการสอบปากคำขณะนี้ถือเป็นขั้นตอนของการแจ้งข้อกล่าวหา

     ด้านพล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ผู้ต้องหาอยู่ถนนสามัคคีชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ กระทำผิดข้อหาหมิ่นสถาบันตามกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ โดยการ นำข้อมูลอันเป็นเท็จมาเผยแพร่สู่ระบบคอมพิวเตอร์ ผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ชื่อ Ness oishii ส่วนขั้นตอนการสืบสวนแกะรอยกระทั่งได้ตัวคนร้ายไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่เจ้าหน้าที่สามารถสืบสวนจนรู้ว่าข้อมูลถูกส่งมาโดยผู้ต้องหาคนนี้ ซึ่งพบว่าข้อความดังกล่าวโพสต์เมื่อวันที่ 2 ก.พ. เวลา 21.33 น. และนายกฤษณ์นำข้อความมาโพสต์ต่อในเวลาใกล้เคียงกับข้อความแรกเป็นอย่างมาก เชื่อว่านายกฤษณ์เป็นผู้โพสต์ข้อความเป็นคนที่ 2 หรือ 3 รองจากผู้สร้างเอกสารดังกล่าว ขณะนี้ตำรวจกำลังเร่งแกะรอยบุคคลดังกล่าว เชื่อว่ายังอยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้ได้ยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่บ้านของนายกฤษณ์มาตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมในการขยายผลต่อไป 

     โฆษกตร.กล่าวอีกว่า เบื้องต้นทราบว่าบุคคลที่ผู้ต้องหารับข้อมูลมาเป็นสมาชิกกลุ่มนปช.จ.เพชรบูรณ์เช่นเดียวกัน มีการพูดคุยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาโดยตลอด แต่จากการตรวจสอบไม่พบประวัติการกระทำความผิดทางคดี เพียงแต่มีแนวคิดทางการเมืองสอดคล้องกับกลุ่มนปช.เพชรบูรณ์เท่านั้น และทราบว่านายกฤษณ์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าขบวนการเสื้อแดงจ.เพชรบูรณ์ และเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.เกือบทุกครั้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเชื่อมโยงไปถึงแกนนำนปช.จ.เพชรบูรณ์

     "ผู้ต้องหาบอกว่าพอได้รับข้อมูลมาก็โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ แต่เพียงไม่กี่นาทีก็รีบลบออก เนื่องจากพบความผิดปกติของรูปแบบอักษรและการสะกดคำ ซึ่งหลังจากข้อความดังกล่าวถูกโพสต์คาดว่าเพื่อนสมาชิกน่าจะนำไปแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว และเจ้าตัวคิดว่าเป็นข้อมูลใหม่ไม่มีใครเคยโพสต์จึงคิดว่าเพื่อนในกลุ่มน่าจะสนใจ อย่างไรก็ตามระบบยังทิ้งร่องรอยสามารถติดตามเส้นทางการโพสต์ได้ หลังจากนี้ทหารจะรับตัวกลับไปควบคุมต่อตามกฎอัยการศึกไม่เกิน 7 วัน ระหว่างนี้ตำรวจต้องเร่งสอบสวนหาต้นตอให้ได้ว่าใครเป็นคนทำ เพื่ออนุมัติออกหมายจับต่อไป แต่จากข้อมูลขณะนี้คงหนีไม่พ้นกลุ่มนปช. น่าจะอยู่ในกลุ่มนั้น คือเพื่อนในกลุ่มส่งต่อมาให้ ซึ่งนายกฤษณ์ถือเป็นคนโพสต์อันดับต้นๆ โดยเผยแพร่ที่บ้านใน จ.เพชรบูรณ์ ตอนนี้การสืบสวนสอบสวนใกล้ถึงคนโพสต์คนแรกเต็มทีแล้ว"โฆษกตร.กล่าว

      วันเดียวกัน พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีเครือข่ายเว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในชื่อ "บรรพต" ว่า ดีเอสไอกำลังสืบสวนสอบสวนขยายผลหา ผู้สนับสนุนเครือข่ายดังกล่าว 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.ชั้นผู้นำ ซึ่งเป็นผู้ผลิตแนวคิด คลิปเสียง และบทความ 2.ผู้ปฏิบัติงาน เป็นผู้เผยแพร่แนวคิดในโซเชี่ยลมีเดีย และ 3.แนวร่วม มีหน้าที่สนับสนุนด้านการเงิน โดยเครือข่ายดังกล่าวมีการหลบซ่อนไอพี ซึ่งต้องใช้เทคนิคชั้นสูงในการตรวจสอบ โดยมีคนที่ใช้นามแฝง "บรรพต" เป็นผู้รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูล

      ทั้งนี้จากการสอบสวนทราบว่า ผู้ใช้นามแฝง "บรรพต" ยังอยู่ในประเทศไทย แต่มีความพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ โดยผู้ที่ใช้ชื่อ "บรรพต" เบื้องต้นทราบว่าเป็นคนสูงอายุและยังไม่เคยมีประวัติการออกหมายจับ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ยังไม่อยากให้รายละเอียด เพราะเครือข่ายของบรรพตติดตามการเคลื่อนไหวด้านข่าวสารจากฝ่าย เจ้าหน้าที่ เพื่อหลบหนีการจับกุม ซึ่งจะทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานยากลำบากมากขึ้น

     เมื่อถามว่า กรณีปลอมแปลงแถลงการณ์สำนักพระราชวังมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการนี้หรือไม่ ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ดีเอสไอ กล่าวว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบไม่พบว่าเครือข่ายบรรพตมีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

      ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ว่า ทราบว่าเจ้าหน้าที่เตรียมแถลงข่าวการจับกุมตัวผู้ต้องหาที่กระทำผิดกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งจับกุมได้ที่ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นคนที่เกี่ยวข้องมีการโพสต์ข้อความซึ่งต้องดูรายละเอียดกัน ทั้งนี้อยากเรียนว่าทั้งหมดคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ให้เกิดความชอบธรรมด้วยหลักฐาน จะกล่าวอ้างลอยๆ ไม่ได้ จะต้องติดตามทุกคดีไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ จับได้หรือไม่ได้ต้องรู้ว่าอยู่ตรงไหน ถ้าอยู่ในต่างประเทศจะทำอย่างไร จะมีการส่งตัวให้หรือเปล่า เพราะไม่สามารถไปจับกุมตัวยังต่างประเทศได้ วันนี้ต้องเอาตัวผู้ต้องหามาก่อน จากนั้นต้องสอบต่อว่าที่โพสต์ข้อความมานั้น โพสต์เพราะอะไร เป็นอย่างไร เรื่องนี้เคยชี้แจงแล้วว่าจับกุมมาหลายราย ก็จะอ้างไม่รู้เรื่อง โพสต์ต่อจากคนนั้นคนนี้ ไม่มีใครยอมรับสักคน เรื่องแบบนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเมตตาคนเหล่านี้ แต่คนเหล่านี้กลับไม่เข้าใจ

      เมื่อถามว่าจะสามารถใช้กฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์จัดการได้หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้พูดคุยกัน แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้ง 8 ฉบับ ของกระทรวงไอซีที จำเป็นต้องออกให้ทันเวลา ให้ทันการเปิดใช้ 4 จี ในประเทศ รวมถึงการประมูลคลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร ซึ่งมีทั้งของรัฐบาลและเอกชนเข้ามาลงทุน กรณีนี้ต้องดูแลทั้งระบบทั้งการบริหารจัดการ หน้าที่ของกสทช. งบประมาณจากการประมูลคลื่นความถี่ และรัฐบาลจะได้ประโยชน์อย่างไร และจะนำไปใช้พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างไร

      พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า หากมองในแง่ของเสรีภาพอย่างเดียวคงไม่ได้ ดังนั้นการที่รัฐบาลจะเข้าไปแทรกแซงหรือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หากไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ไม่สามารถเข้าไปได้ ต้องดูเรื่องของจุดประสงค์ด้วยว่ารัฐต้องการเข้าถึงข้อมูลด้วยเหตุผลอะไร และหากเข้าไปดูข้อมูล เพราะมีการทุจริตผิดกฎหมายจะทำได้หรือไม่ นอกจากนี้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติจะทำอย่างไร 

      "ถ้าบอกว่าอะไรก็อิสระเสรีทั้งหมด แต่ปัญหาต่างๆ ทำให้เกิดความรุนแรง ซึ่งเราต้องช่วยกันดูหลายอย่าง ต้องช่วยผมคิดว่าจะทำอย่างไร ตอบให้ผมด้วย ร่างกฎหมายให้ผมหน่อย ว่าสื่อเสรีภาพจะทำอย่างไรถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ มีการปลุกปั่น ปลุกระดมมวลชนหาทางออกให้ผมหน่อย ถ้าบอกว่า ตีกันเหมือนเดิม รับได้ก็รับ ถ้าไม่มีอะไรผิดถูกใครจะอยากไปดู"นายกฯ กล่าว

     ขณะที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ตำรวจจับผู้กระทำผิดได้แล้วเมื่อคืนวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา คนร้ายมีอาชีพเป็นนักดนตรี และเป็นตำรวจเก่าระดับชั้นประทวน

     ด้านนางธิดา โตจิราการ แกนนำกลุ่มนปช. กล่าวว่า เราไม่รู้จะปฏิเสธหรือตอบรับอย่างไร เขาบอกว่าเป็นนักดนตรีและเป็นนปช.เพชรบูรณ์ เราไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ข้อสำคัญคือเขาไม่ได้เป็นแกนนำที่เราแต่งตั้ง ซึ่งไม่คุ้นหน้า แต่ถ้าเขาบอกว่าเป็นนปช.ก็หมายความว่าเป็นคนเสื้อแดง ซึ่งมีเป็นล้านคน ใครจะทำอะไรคงไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด ถ้าทำจริง ต้องว่ากันตามผิด เป็นสิ่งที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง คงไปปกป้องไม่ได้ ตำรวจต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่ยังไม่รู้ว่าทำจริงหรือไม่ ตำรวจต้องให้ความเป็นธรรมในขั้นตอนการสอบสวนด้วย

   นางธิดา กล่าวด้วยว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าความจริงแล้วเว็บไซต์ข่าวที่เผยแพร่เรื่องดังกล่าวจะต้องเข้าข่ายกระทำผิดสถานหนัก เพราะเป็นสื่อแล้วเอาไปเผยแพร่ ขณะที่บุคคลที่ตำรวจจับกุมเป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งอาจจะทำเองหรือเอามาจากคนอื่น เขาอาจคิดว่าเป็นเอกสารของจริงก็ได้ แตกต่างจากสื่อที่ก่อนเผยแพร่อะไรออกไปต้องมีการตรวจสอบและยับยั้งชั่งใจ แต่กรณีนี้เว็บไซต์ที่เป็นสื่อที่ เผยแพร่ออกไปกลับไม่ผิด

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!