WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

80lan

ไดอารี่'สมยศ'ไขคดี ปม 80 ล. ขัดแย้งคนใกล้ตัว '
เสี่ยคาเฟ่'โกรธสุดๆ ถึงขั้นลงมือทำร้าย ตร.เค้น'เจ๊รัศมี'อีก! คิวต่อไป-ลูกอีกเมีย ที่ถูกลูกสาวซัดทอด

      ไดอารี่'สมยศ สุธางค์กูร'ช่วยชี้เบาะแส ตร.เปิดบันทึกอดีตเจ้าพ่อคาเฟ่เมืองหลวง พบประเด็นเงิน 80 ล้านหายไปจากบัญชีแบงก์ โดยคนใกล้ตัวนำไปลงทุนแล้วเจ๊ง สร้างความไม่พอใจ จนขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เพิ่มน้ำหนักประเด็น คนใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับการตายยิ่งขึ้น หลังวิเคราะห์เชื่อมกับที่มือปืนมั่นใจไปรอลั่นไกที่ร้านหูฉลามนานถึง 5 ช.ม. แสดงว่าต้องได้รับสัญญาณชัดเจนจากคนใกล้ชิดเหยื่อ ตร.เตรียมเรียกสอบเมียกับลูกสาวอีกครั้ง หลังจากสอบแล้วหลายรอบ รวมทั้งเรียกลูกอีกคนที่เกิดกับเมียนักร้องคาเฟ่มาสอบด้วย ตร.สอบแล้ว 'เฮียม้อ' ที่มีคดีแจ้งจับเรื่องรับเงิน 15 ล้านไปวิ่งเต้น คดีแต่ทำไม่สำเร็จ ไม่พบพิรุธถึงขั้นจะเป็นสาเหตุ


วันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 8984 ข่าวสดรายวัน


สอบอีก- ตำรวจกองปราบฯเชิญนางรัศมี และน.ส.ณัฐธิดา สุธางค์กูร ภรรยาและลูกสาวนายสมยศ สุธางค์กูร เข้าให้ปากคำอีกครั้ง ขณะที่แนวทางการสืบสวนของตำรวจยังคง ให้น้ำหนักไปที่คนใกล้ชิดของผู้ตาย ซึ่งมีปัญหาเรื่องเงินทองจำนวนมหาศาล เมื่อวันที่ 3 ก.ค.


      ความคืบหน้าคดีมือปืนบุกยิงนายสมยศ สุธางค์กูร อดีตเจ้าพ่อคาเฟ่เมืองหลวง เสียชีวิตขณะขึ้นรถเบนซ์บริเวณลานจอดรถร้านหูฉลาม ย่านสวนหลวง กทม. ต่อหน้าภรรยา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งปมสังหารไว้หลายประเด็น ทั้งเรื่องทวงเงิน 24 ล้านบาทจากหญิงสาวคนสนิท เรื่องที่ดินย่านพระราม 9 เรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ ก่อนจะขมวดปมมุ่งน้ำหนักไปยังบุคคลใกล้ชิด ล่าสุดเมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 3 ก.ค. ที่กองปราบปราม นางรัศมี สุธางค์กูร อายุ 53 ปี พร้อมด้วยน.ส.ณัฐธิดา สุธางค์กูร อายุ 25 ปี ภรรยาและบุตรสาวของนายสมยศ สุธางค์กูร เข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับพ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รองผบก.ป. และพนักงานสอบ สวนกองปราบฯ
    นางรัศมี เปิดเผยก่อนพบพนักงานสอบ สวนกองปราบฯ ว่า จนถึงขณะนี้ยังเชื่อว่าปมสังหารสามีน่าจะมีอยู่ 2 ถึง 3 เรื่อง ทั้งเรื่องถูกโกงพนัน เรื่องปัญหาที่ดินเช่าย่านพระราม 9 ที่มีการฟ้องครอบครองปรปักษ์ ส่วนเรื่องรับวิ่งเต้นคดีนั้น ตนไม่ทราบรายละเอียด ทั้งนี้สามีไม่เคยมีหนี้สินใดๆ และทำประกันชีวิตไว้เพียง 2 กรมธรรม์เท่านั้น
     ภรรยานายสมยศ เปิดเผยต่อว่า ในวันเกิดเหตุ หลังจากไปพบแพทย์ที่ร.พ.รามคำแหง ตอนแรกตั้งใจไปรับประทานอาหารที่ร้านภายในโฮมโปร ย่านศรีนครินทร์ แต่สามีเปลี่ยนใจ มารับประทานที่ร้านเฮงหูฉลามเสร็จแล้วสามีแยกไปเข้าห้องน้ำ ส่วนตนมาติดเครื่องรถรอ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำปกติทุกครั้งอยู่แล้ว ตอนนี้ แค่อยากถามไปยังผู้บงการ และมือปืนว่า นายสมยศไปทำอะไรให้ ถึงกับต้องทำกันแบบนี้ จึงขอวิงวอนตำรวจเร่งจับตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด
     ส่วนน.ส.ณัฐธิดา ลูกสาวนายสมยศกล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นคนใกล้ตัวพ่อ ซึ่งได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไปแล้วว่า พ่อมีผู้ปองร้าย ส่วนเรื่องเฮียม้อที่แจ้งความดำเนินคดีพ่อเรื่องค่าวิ่งเต้นคดี 15 ล้านบาทนั้น ทราบเพียงว่าเฮียม้อเคยมาขอให้พ่อช่วยเรื่องคดีความให้เท่านั้น แต่ไม่ทราบรายละเอียด เพราะตนเพิ่งเรียนจบยังไม่รู้อะไรมากนัก หลังจากให้ปากคำที่กองปราบฯแล้วจะไปให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนที่บช.น.ด้วย จากนั้นวันที่ 4 ก.ค. จะเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม ที่สน.คลองตัน อีกครั้ง
     ด้านพ.ต.อ.สุทินเปิดเผยว่า เชิญภรรยาและบุตรสาวของผู้ตายมาให้ข้อมูล เพื่อสอบถามถึงคำให้การที่เคยให้ไว้กับพนักงานสอบสวนก่อนหน้านี้ แต่ยังมีบางประเด็นที่น่าสงสัย ก็จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป นอกจากภรรยาและบุตรสาวของผู้ตายแล้ว ก็อยู่ระหว่าง ติดต่อนางศุภนิดา นรรัตน์ หรือก้อย หญิงสาวคนสนิทของผู้ตาย, นายสมชัย นิตยา หรือเล็ก อดีตสามีของนางศุภนิดา, พ.อ.ภาณุ จันทร์ศรี หรือเสธ.ณุ ที่ผู้ตายเคยให้ไปทวงเงินจากนางก้อยและนายเล็ก รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ข้อมูลด้วย
    นางรัศมี เปิดเผยอีกครั้งภายหลังให้ปากคำนาน 2 ชั่วโมงว่า ตำรวจสอบปากคำประเด็นทั่วๆ ไป ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้ง ข้อมูลของสามี โดยไม่ได้มุ่งประเด็นใดประเด็น หนึ่ง ทั้งหมดเป็นข้อมูลที่เคยให้การกับตำรวจสน.คลองตัน ไปก่อนหน้านี้ ทั้งประเด็นที่วันเกิดเหตุนางก้อยโทรศัพท์มาขอยืม เงินจากตน 2 แสนบาท นางก้อยยังถามต่อว่าจะเดินทางไปที่ไหนบ้างในวันนั้น ซึ่งตอบไปว่าไปร.พ. รามคำแหง เสร็จแล้วจะไปกินหูฉลาม ขอยืนยันว่าในวันเกิดเหตุ มีนางก้อยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความเคลื่อนไหว ส่วนกรณีของ เฮียม้อหรือเสี่ยม้อนั้น ไม่เคยคุยกัน เนื่องจากคดีความที่ฟ้องร้องสามียังไม่สิ้นสุด 
    ด้านน.ส.ณัฐธิดากล่าวว่า วันเกิดเหตุมีเพียง นางก้อยเท่านั้นที่โทรศัพท์มาสอบถามความเคลื่อนไหวของพ่อ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพ่อจะมากินหูฉลามที่ร้านนี้เท่านั้น นางก้อยก็เคยมากินด้วย ถึงตอนนี้เชื่อว่าการตายของพ่อมีคนใกล้ชิด ที่รู้เห็น และมีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากคนที่ต้องสงสัยรายนี้ไม่ถูกกับตนและพ่อ
     ผู้สื่อข่าวถามว่า คนใกล้ชิดที่ว่าน่าสงสัยว่าเป็นใคร น.ส.ณัฐธิดากล่าวว่า บุคคลที่มีความขัดแย้งกับตนและพ่อก็คือลูกชายภรรยานอกสมรสของพ่อ ซึ่งก็เป็นน้องชายตนเองแต่คนละแม่ โดยแม่ของน้องชายเคยเป็นนักร้องที่คาเฟ่ของพ่อ ปัจจุบันตัวของแม่อยู่ต่างจังหวัด แต่ตัวน้องชายอยู่ที่กรุงเทพฯ ตนเพิ่งทราบความจริงเมื่อ 4 ปีที่แล้วว่าพ่อมีลูกชายอีกคน แต่ไม่ได้คิดอะไรและยังไปมาหาสู่กันตลอด กระทั่งเมื่อปีที่แล้วน้องชายเริ่มเปลี่ยนไป และแสดงให้รู้ว่าไม่ชอบพ่อและตนอย่างรุนแรง จากนั้นขาดการติดต่อไป
    ลูกสาวนายสมยศ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญเคยได้ยินน้องชายบ่นเชิงตัดพ้อว่าไม่ชอบพ่อ คิดว่าพ่อไม่รัก และถึงขั้นเกลียดพ่อ ซึ่งตนจำได้ขึ้นใจ ส่วนเรื่องเงินประกันชีวิตที่พ่อทำไว้ ปกติพ่อไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่มีกรรมธรรม์ 2 ฉบับ วงเงินประกัน 4 แสนบาท ใบแรกให้แม่ และใบที่สองให้ตน ตามปกติพ่อเป็นคนละเอียด และจดข้อมูลทุกอย่างลงในสมุดบันทึก แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำไปตรวจสอบแล้ว แต่ที่ผิดปกติคือช่วงหลังพ่อนำอาวุธปืนมาเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานชั้นล่างภายในบ้าน จากเดิมเก็บไว้ในห้องนอนชั้นสอง แต่พ่อไม่เคยเล่าให้ฟังว่าถูกข่มขู่หรือถูกปองร้าย เพราะกลัวว่าครอบครัวจะวิตกกังวล
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างให้สัมภาษณ์นางรัศมีมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้จากการตรวจสอบกรมธรรม์ประกันชีวิตของนายสมยศพบว่ามี 2 ฉบับ ฉบับแรกนายสมยศยกผลประโยชน์ให้บิดาและมารดา ส่วนฉบับ 2 ให้กับน.ส.ณัฐธิดา ลูกสาว นอกจากนี้นางรัศมีได้นำโฉนดที่ดินที่มีชื่อของนายสมยศครอบครองมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจำนวน 9 ฉบับ
      รายงานข่าวแจ้งว่า พนักงานสอบสวนกองปราบฯ เชิญตัว "เฮียม้อ" อายุ 44 ปี มาสอบปากคำกรณีว่าจ้างนายสมยศ 15 ล้านบาทเพื่อช่วยวิ่งเต้นคดี แต่นายสมยศทำไม่สำเร็จจนมีการ ฟ้องร้องดำเนินคดีกันนั้น โดยเฮียม้อให้การว่าเคยมีปัญหากับนายสมยศจริง คดีดังกล่าวเกิดตั้งแต่เดือนต.ค.2556 ครั้งนั้นแจ้งความกองปราบฯให้ดำเนินคดีกับนายสมยศ และนางรัศมี ภรรยา ข้อหาฉ้อโกง และฐานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินเพื่อให้เจ้าพนักงานกระทำการตาม เป็นเงินทั้งหมด 15 ล้านบาท 
    เฮียม้อให้การอีกว่า จ่ายเงินให้นายสมยศเพื่อให้ช่วยเหลือคดีที่เพื่อนถูกจับคดียาเสพติด คดีอยู่ระหว่างรอการตัดสินชั้นฎีกา เนื่องจากเห็นว่านายสมยศเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงทางด้านนี้ และรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เยอะ หลังจากเจรจานายสมยศรับปากว่าสามารถช่วยเหลือได้แน่นอน และยังพาไปพบกับผู้ใหญ่หลายคน จนเชื่อมั่นในศักยภาพของนายสมยศ กระทั่งยอมโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของนางรัศมีหลายครั้ง รวมแล้วเป็นเงินทั้งหมด 15 ล้านบาท แต่ปรากฏว่าหลังจ่ายเงินไปแล้วนายสมยศไม่สามารถทำตามที่รับปากได้ จึงแจ้งความเอาผิดกับนายสมยศดังกล่าว
      รายงานข่าวเผยอีกว่า พนักงานสอบสวนเรียกตัวนายสมยศและนางรัศมีมาแจ้งข้อกล่าวหาคดีที่เฮียม้อแจ้งจับ แต่ภายหลังทราบทั้งสองฝ่ายมีการเจรจา และใช้เงินคืนในบางส่วนแล้ว ทางเฮียม้อก็เลยไม่ได้ติดใจอะไร อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ทีมสืบสวนกองปราบฯยังไม่ได้ตัดทิ้งไป จะต้องสืบสวนสอบสวนให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
      ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ดร. เรืองศักดิ์ จริตเอก รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า แรงกดดันสำหรับคดีนี้ถามมาว่าจะสามารถจับคนร้ายได้เมื่อไหร่ ขอแจ้งว่าคณะทำงานจะไม่ด่วนสรุปในทุกประเด็น เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนสอบสวนและตรวจสอบเพิ่มเติมในเรื่องของทรัพย์สินทั้งทรัพย์สินที่เสียไปแล้ว ทรัพย์สินที่ยังมีผลต่อไป ทรัพย์สินส่วนตัว และประเด็น ว่าใครจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์หากนายสมยศเสียชีวิต เจ้าหน้าที่พยายามขยายผลหาความเชื่อมโยงประเด็นนี้ รวมทั้งหาความเชื่อมโยงกับผู้ต้องสงสัยรายใหม่ด้วย 
     "ยืนยันว่า ยังไม่มีการตัดประเด็นใดทิ้ง ทั้งผู้ที่เรียกมาสอบปากคำเป็นกลุ่มแรก รวมถึงให้น้ำหนักเรื่องใดเป็นพิเศษทั้งเรื่องของหนี้สินการพนัน การซื้อขายที่ดิน ตลอดจนเรื่องของการตกลงเคลียร์คดีความให้" รอง ผบ.ตร.กล่าว และว่า เมื่อวานนี้ได้เร่งรัดการสืบสวนเพื่อสรุปผล ทั้งหลักทางนิติวิทยาศาสตร์ หลักอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบ อาทิ สถานที่เกิดเหตุ สภาพแวดล้อมต่างๆ 
      รอง ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ชุดสอบสวนเรียกสอบปากคำภรรยาและบุตรสาวของนายสมยศหลายครั้ง เป็นการบ่งชี้หรือมีนัยยะอะไรหรือไม่นั้น การมีนัยยะสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่สังคมต้องไปคิดเอาเอง เจ้าหน้าที่ยังไม่มีข้อสรุป แต่เรียกสอบเพื่อให้ข้อมูลรอบด้านและไม่ได้เป็นการชี้นำไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือใครคนใดคนหนึ่ง แต่ประเด็นบุคคล ใกล้ชิดเป็นหนึ่งประเด็นที่ตำรวจไม่เคยมองข้าม มีการตรวจสอบสัมพันธ์ของคนในครอบ ครัวแล้วพบความขัดแย้งหรือไม่ ต้องขอสงวนไว้ในสำนวน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เตรียมเรียกบุตรบุญธรรมของนายสมยศมาสอบปากคำเพิ่มเติมด้วย ส่วนจะออกหมายจับใครเพิ่มเติมหรือไม่ต้องติดตามต่อไป ซึ่งเย็นวันนี้จะประชุมคณะทำงานตามปกติ
      วันเดียวกัน เวลา 19.00 น.ที่บก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. หัวหน้า ชุดคลี่คลายคดีสังหารนายสมยศ อดีตเจ้าพ่อคาเฟ่เมืองหลวง เรียกประชุมชุดคลี่คลายคดี ประกอบด้วย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.ธัมรงค์ วงศ์แป้น รองผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.3 บก.สส.บช.น. กก.สส.บก.น.5 ฝ่ายสืบสวน สน.คลองตัน ร่วมกับชุดสืบสวนกองปราบฯ นำโดย พ.ต.อ.อัครเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. เพื่อวางแผนการคลี่คลายคดี โดยประเด็นสังหารหลักๆ ยังตั้งไว้ 3 ประเด็น ได้แก่ เรื่องถูกโกงการพนัน, เรื่องรับวิ่งเต้นช่วยเหลือคดียาเสพติด และเรื่องที่ดินย่านพระราม 9
     สำหรับ เรื่องการพนันนั้น ชุดสืบสวนนำตัว นางศุภนิดา หรือก้อย นรรัตน์ อายุ 48 ปี หญิงสาวคนสนิทนายสมยศมาสอบสวนปากคำ กรณีเคยร่วมกับนายสมชัย นิตยา หรือเล็ก ชุมพร อายุ 51 ปี อดีตสามี หลอกนายสมยศไปเล่นไพ่แล้วโกงเงินไปหลายล้านบาท ต่อมา เจ้าพ่อคาเฟ่ตามบีบบังคับทวงเงินคืน ทั้งนี้ ได้สอบปากคำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว รวมทั้งพ.อ.ภาณุ จันทร์ศรี หรือเสธ.ณุ นายทหารนอกราชการ ที่นายสมยศเคยให้ไปทวงเงิน, นายปริญญา หรือปีเตอร์ ปิยะภาค เพื่อนของนางก้อย และน.ส.มุกรินทร์ หรือเรียม นิตยา อายุ 45 ปี น้องสาวนายเล็ก เบื้องต้นชุดสืบสวนยังไม่พบพิรุธหรือหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารนายสมยศ
     นอกจากนี้ ชุดคลี่คลายคดีได้สอบปากคำนางศุภนิดา หรือก้อย สืบเนื่องจากนางรัศมี ภรรยานายสมยศ ให้การว่า นางก้อยโทรศัพท์มายืมเงินในวันเกิดเหตุ และรู้ว่านายสมยศจะเดินทางไปที่ร้านเฮงหูฉลาม จากนั้นนายสมยศ ก็ถูกคนร้ายมาดักยิงเสียชีวิต ทั้งนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ สอบถามถึงกรณีดังกล่าว นางก้อยแสดงอาการ ไม่พอใจภรรยานายสมยศที่กล่าวหาประเด็นนี้ โดยนางก้อยยืนยันว่าไม่รู้ว่านายสมยศจะไปกินหูฉลาม เพราะระหว่างคุยไม่ได้ถามเลยว่าจะไปไหนกันต่อ ดังนั้น ชุดคลี่คลายคดีจึงเรียก นางรัศมี ภรรยานายสมยศมาสอบปากคำเพิ่มเติม หลังจากต่างฝ่ายต่างให้การพาดพิงกัน เนื่องจาก เป็นประเด็นสำคัญที่ชุดคลี่คลายคดีตั้งข้อสังเกตว่าทำไมมือปืนถึงมั่นใจว่าเป้าสังหารต้องมาที่ร้านหูฉลามอย่างแน่นอน ถึงกับมาดักรอตั้งแต่ช่วง 5 โมงเย็นก่อนจะลงมือในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม อีกทั้งจากการสอบสวนพยานให้การว่า ขณะที่นายสมยศเดินทางมาถึงร้านหูฉลามมือปืนไม่ได้ลงมือทั้งที่มีโอกาส แต่กลับรอกระทั่งรับประทานอาหารเสร็จ จึงลงมือยิงตอนเดินมาขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ
     ทั้งนี้ ชุดคลี่คลายคดีของบช.น.จะเชิญภรรยา และลูกสาวนายสมยศมาสอบเพิ่มเติมอีกครั้ง เกี่ยวกับสถานภาพครอบครัวว่ามีเรื่องระหองระแหงกันหรือไม่ เนื่องจากการตรวจสมุดบันทึกหรือไดอารี่ของนายสมยศพบว่าผู้ตายเคยเขียนบันทึกไว้ว่า เคยลงมือทำร้ายร่างกายภรรยาจนได้รับบาดเจ็บจนฟกช้ำดำเขียว โดยเจ้าหน้าที่จะสอบถามข้อมูลตามที่ผู้ตายบันทึกไว้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร และเคยเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด สมุดบันทึกของนายสมยศจะจดบันทึกเหตุการณ์สำคัญแต่ละวันที่เกิดขึ้น เช่น รายละเอียดของสถานที่ไปไว้ก่อนล่วงหน้าทุกครั้ง พอทำเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วก็จะกาขีดฆ่าทิ้ง โดยวันเกิดเหตุก็เขียนลงสมุดว่าไปที่ร.พ.รามคำแหง แต่ไม่มีเขียนบอกว่าจะไปร้านเฮงหูฉลามแต่อย่างใด 
    นอกจากนี้ ชุดสืบสวนได้ติดต่อพ.ต.ท. เสนาะ มณีฤทธิ์ นรต.รุ่น 36 นายตำรวจที่ลาออกจากราชการไปประกอบธุรกิจทีวีดาวเทียมช่องเคเอ็มชาแนล มาให้ปากคำเกี่ยวกับรถเบนซ์ ทะเบียน ฌร 3636 กรุงเทพฯ คันที่นายสมยศนั่งในวันเกิดเหตุ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าพ.ต.ท.หญิงนงเยาว์ มณีฤทธิ์ ภรรยา พ.ต.ท.เสนาะ เป็นเจ้าของรถเบนซ์คันดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าพ.ต.ท.เสนาะเช่าอาคาร ของนายสมยศทำกิจการทีวีดาวเทียม และติดค้างค่าเช่าอยู่ประมาณ 3 ล้านบาท พ.ต.ท. เสนาะจึงใช้รถเบนซ์ค้ำประกันหนี้ไว้ก่อน ซึ่งชุดคลี่คลายคดีจะคลี่คลายประเด็นนี้ให้กระจ่าง
     ด้านพล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดประเด็น ใดทิ้ง เพราะหลักฐานโดยเฉพาะพยานเอกสารค่อนข้างเยอะยังได้ไม่ครบ ทั้งที่เกี่ยวกับคดีที่ผู้ตายช่วยเหลือและหลักฐานทางการเงิน โดยให้ภรรยาผู้ตายช่วยตรวจสอบ คาดว่าจะใช้เวลา ประมาณ 2-3 วัน จะสามารถสรุปประเด็นให้แคบลงได้ ส่วนการสอบปากคำพยานที่เกี่ยว ข้องกับประเด็นที่ดินนั้น ยังอยู่ระหว่างเรียกคู่กรณีที่ผู้ตายได้เขียนบันทึกไว้ประมาณ 20 คดี ตรวจสอบว่าผู้เกี่ยวข้องเป็นใครบ้าง รวมถึงสอบปากคำความเป็นมา กำลังไล่ลำดับทีละเรื่อง รวมถึงเรื่องการตรวจสอบข้อมูลในไดอารี่ และคลิปเสียงที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ มีเพียงแค่คลิปเสียงสั้นๆ ยังไม่มีข้อความอะไรที่เกี่ยว ข้องเท่ากับทางคดีมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องคดีความ และมีเพียงเสียงที่พูดคุยกับลูกความบ้างเท่านั้น
     ส่วนการติดตามคนร้ายนั้น ตรวจสอบกล้อง วงจรปิดคืบหน้าพอสมควร หลักฐานหัวกระสุน ปืนจากศพผู้ตายที่ได้ให้ทางพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเปรียบเทียบจากฐานข้อมูลคดีเก่าว่ามีคดีใดที่ใช้อาวุธปืนขนาด .38 ก่อเหตุ เพื่อเร่งติดตามข้อมูลคนร้ายต่อไป
    รายงานข่าวจากชุดคลี่คลายคดีเปิดเผยว่า แม้จะตั้งประเด็นสังหารไว้หลายประเด็น แต่จากพยานหลักฐานที่มากขึ้นทำให้พอจะขมวดปมแคบลงมุ่งน้ำหนักไปยังบุคคลใกล้ชิดของนายสมยศ โดยพบพยานหลักฐานว่าเมื่อตอนต้นปีนายสมยศไปร่วมงานวันเกิดที่ จ.กาญจนบุรี ระหว่างเดินทางกลับถูกลอบยิงแต่รอดตาย มาได้ นายสมยศไม่แจ้งความแต่เก็บตัวและระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะรู้ว่ามีคนมุ่งร้ายหมายเอาชีวิต ดังนั้น การที่มือปืนไปรอสังหาร ที่ร้านหูฉลามนานถึง 5 ช.ม.ด้วยความมั่นใจว่านายสมยศต้องมาแน่ๆ แสดงว่ามือปืนต้องได้ข้อมูลจากคนใกล้ชิดของนายสมยศ เพราะถึงแม้ร้านหูฉลามดังกล่าวจะเป็นร้านประจำ แต่นายสมยศไม่ได้ไปนาน 5 เดือนแล้ว ครั้งแรกที่ไปกินหูฉลามในรอบ 5 เดือนก็ถูกมือปืน ไปสังหารจนเสียชีวิต ซึ่งข้อสงสัยนี้ทำให้ เจ้าหน้าที่กำลังขยายผลเพื่อความกระจ่างชัด
     รายงานข่าวเผยอีกว่า จากการตรวจสอบสมุดบันทึกของนายสมยศ ได้บันทึกเรื่องสำคัญไว้เรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องเงินในบัญชีธนาคารหายไป 80 ล้านบาท ซึ่งนายสมยศบันทึกว่าคนใกล้ชิดนำเงินจากบัญชีไปทำธุรกิจแต่ไม่ประสบความสำเร็จ สร้างความไม่พอใจให้นายสมยศอย่างมากจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับคนใกล้ชิดรายนี้ จากข้อมูลดังกล่าววิเคราะห์เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ชุดคลี่คลายคดีมุ่งมายังคนใกล้ชิดของนายสมยศน่าจะเกี่ยวข้องกับการตายของอดีตเจ้าพ่อคาเฟ่เมืองหลวง

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!