WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

20ศพ

สมยศ ฉะวงจรปิดเจ๊ง เกินครึ่ง ทำคดีบึ้ม 20 ศพช้า จาก 20 กล้อง-ใช้ได้แค่ 5 อุปกรณ์ไม่พอล่าคนร้าย แฉมือวางระเบิดไฮเทค คุยสื่อสารกันผ่านเน็ต ตร.สุ่ม-เรียกสอบแท็กซี่

       'สมยศ'ชี้เหตุคดีระเบิดล่าช้า กล้องวงจรปิดเจ๊งเกินครึ่ง คนร้ายเดินผ่านกล้อง 20 ตัว แต่ตรวจสอบแล้วใช้การได้เพียง 5 ตัว ยอมรับอุปกรณ์ที่มีอยู่ไม่พอติดตามจับกุมมือบึ้ม ทั้งยังไม่พบหลักฐานชายต้องสงสัยบินออกนอกไทยไปแล้ว ชุดคลี่คลายคดี บช.น. ตรวจแล้วยังไม่พบคนร้ายเสื้อเหลืองเปลี่ยนเป็นเสื้อสีเทา เข้าไปในร.พ.จุฬาฯ พร้อมทั้งสุ่มสอบโชเฟอร์แท็กซี่หาเบาะแสเพิ่มเติม พบอีกประเด็น สงสัยมือระเบิดไฮเทค ใช้การสื่อสารผ่านเน็ต โปร แกรมแช็ต ไม่ได้ติดต่อพูดคุยโดยตรงผ่านโทรศัพท์ สื่อต่างประเทศตีข่าว ตร.ไทยจับนักข่าวฮ่องกง พร้อมเสื้อเกราะ เจ้าตัวยืนยันใช้สำหรับใส่ป้องกันทำข่าวระเบิด ไม่รู้ผิดกฎหมาย

 

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ปีที่ 25 ฉบับที่ 9036 ข่าวสดรายวัน


รำลึก - ประชาชนจำนวนมากร่วมพิธีสักการะท้าวมหาพรหม และจุดเทียนรำลึกครบ 7 วัน เหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ที่ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อ 24 ส.ค.


คสช.ยังคุมเข้มทุกจุดเสี่ยง
      ความคืบหน้าคดีระเบิดกลางกรุง 2 จุด ที่ศาลพระพรหม แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทรนั้น เมื่อวันที่ 24 ส.ค. ที่ศูนย์ติดตามสถานการณ์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคสช. แถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. มีบัญชาให้ทหารและตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เพิ่มความเข้มข้นรักษาความปลอดภัยและตรวจตราสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ แหล่งชุมชน สนามบิน สถานีขนส่ง และสถานีรถไฟ นอกจากนี้ ผลจากการเปิดยุทธการปิดเมืองค้นรังโจร จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายได้ 129 คดี ผู้ต้องหา 139 คน ยึดของกลางอาวุธปืน เครื่องกระสุน และยาเสพติดจำนวนหนึ่ง
      พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ส่วนการติดตามสอบสวนคดี ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตัวอย่างวัตถุพยาน และนำส่งตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงสู่การตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลของผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ในด้านการข่าวยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับข้อมูลความเคลื่อนไหวของบุคคลที่มีลักษณะคล้ายผู้ต้องสงสัย และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นับว่าเป็นประโยชน์และจะนำมาไปพิสูจน์ทราบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนำไปขยายผลต่อไป

'สมยศ'ยันคดีบึ้มกรุง-ไม่ล่าช้า
        ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. กล่าวว่าขอบคุณประชาชนที่แจ้งเบาะแสข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ แต่ขอประณามคนที่โทรศัพท์แจ้งข่าวสาร โพสต์ข้อความผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กอันเป็นเท็จ สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้แก่ประชาชน สั่งการไปแล้วว่าหากเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ให้ดำเนินคดีเป็นเยี่ยงอย่าง ขณะนี้มีพยานหลักฐานอะไร ทุกหน่วยรวบรวมเก็บไว้ แลกเปลี่ยนข่าวสารทำงานร่วมกันตลอด มีข้อมูลที่ไม่ขอเปิดเผย การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ถือว่าล่าช้า ทำงานไม่ได้หลับได้นอน คนที่ต่อว่าเจ้าหน้าที่โดยที่ไม่ได้ทำอะไร พวกนี้มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ
      พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงความช่วยเหลือจากต่างชาติ และการนำเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยในการสืบสวนว่า มีมิตรประเทศหลายประเทศให้ความร่วมมือในการสนับสนุน ขณะมีบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจด้านเครื่องมือเหล่านี้นำเครื่องมือมานำเสนอให้ทดสอบ โดยช่วงวันที่ 22-23 ส.ค.ที่ผ่านมา หลายบริษัทนำเครื่องมือมาให้ดู เราดูว่าทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ต่อเชื่อมกับสิ่งที่เรามีหรือไม่ ขณะนี้มีหลายสิ่งที่เรารออยู่ มีหลายสิ่งที่เราส่งไปตรวจสอบที่ต่างประเทศ อยู่ระหว่างรอตอบกลับมา ยอมรับว่าขณะนี้เรายังไม่มีอุปกรณ์ ที่มีศักยภาพในการตรวจสอบ

ขอซื้ออุปกรณ์ไฮเทค-ด่านตม.
      ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการเดินทางเข้าออกประเทศไทย ตรวจสอบเพียงชื่อ วันเดือนปีเกิด พาสปอร์ต ตรวจสอบได้เท่านั้น แต่ปัจจุบันบางประเทศใช้ไบโอแมททริกส์ ที่ตรวจสอบรูปหน้า ลายพิมพ์นิ้วมือ และแววตา ขณะนี้ทำเรื่องขออนุมัติจัดซื้อจัดหาไว้ใช้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ และตำรวจทุกหน่วยสามารถใช้ได้ ถ้ามีเครื่องมือนี้ ป่านนี้รู้แล้วว่าคนที่เรากำลังตามหาเดินทางเข้าออกประเทศหรือยัง
        "เรื่องนี้นายกฯ เล็งเห็นความสำคัญตั้งแต่ต้นปี ท่านไปเห็นที่เกาหลี และเรียกผมไปพบว่า ตม.ควรมีเครื่องมือนี้ และสั่งการ ผมก็ดำเนินการตั้งแต่วันนั้นแต่ติดที่ระเบียบขั้นตอนกฎหมาย ขั้นตอนเยอะ โดยเฉพาะงบประมาณที่ไม่ได้ตั้งไว้ โดยจะนำค่าปรับ ค่าธรรมเนียม ที่ตม.ส่งคืนคลังปีละ 5,000-6,000 ล้าน ตัดมาสักพันล้านเพื่อจัดซื้อ ประสานไปทั้งกระทรวงการคลัง และกรมบัญชีกลาง ก็อนุญาตให้ใช้งบฯ ตรงนี้ไม่รบกวนรัฐบาล โดยยอมรับว่าเครื่องมือที่มีอยู่ไม่เพียงพอเป็นอุปสรรคในการติดตามตัวคนร้าย" ผบ.ตร.กล่าว


ยุทธภัณฑ์ - นายกวาน ฮ็อก จุน ผู้สื่อข่าวฮ่องกง ถูกจนท.การท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจับกุมพร้อมเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุน ข้อหาครอบครองยุทธภัณฑ์ นำตัวฝากขังศาลทันที ก่อนได้รับการประกันตัวในวันเดียวกัน เมื่อ 24 ส.ค.


วงจรปิดเกินครึ่งใช้การไม่ได้
       ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดสาทร มีหลักฐานพอออกหมายจับได้หรือยัง พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า พนักงานสอบสวนดำเนินการอยู่ แต่กล้องวงจรปิดอยู่ไกล เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน เอาเครื่องมือที่เอกชนนำเสนอมาช่วยตรวจสอบ แต่เครื่องมือไม่สนองตอบกัน ต้องไปขอความร่วมมือประเทศที่มีเครื่องมือ เอาเทคโนโลยีดึงภาพให้เห็นชัด เคยดูหนังซีเอสไอไหม คล้ายอย่างนั้น แต่เราไม่มีเครื่องมือเลย
      "ทุกวันนี้ตำรวจไทย ทำงานด้วยความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ จินตนาการ ครีเอตสถานการณ์สร้างเรื่องสร้างสตอรี่ขึ้นมา มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยกตัวอย่างทุกวันนี้เราติดตามคนร้ายจากกล้องซีซีทีวี ระหว่างทางมี 20 ตัว แต่เสียไป 15 ตัว ใช้ได้ 5 ตัว ก็กระโดดไปกระโดดมา มีส่วนที่หายไป ตำรวจมานั่งจินตนาการว่าตรงนั้นคืออะไร ต้องเสียเวลาสร้างจินตนาการ ตรวจสอบสิ่งที่ไม่ใช่ แต่ถ้ามีเครื่องมือที่ว่าจะสามารถบอกได้เลยว่าคนร้ายไปโผล่จุดไหนบ้าง เช่น เห็นที่ราชประสงค์ ไปโผล่สีลม แต่กล้องเสียทั้งหมด บังเอิญกล้องดุสิตธานีใช้ได้ ไปโผล่หัวลำโพง โดยเราต้องใช้ทั้ง ซีซีทีวี พยานและหลายอย่างประกอบเพื่อให้น้ำหนักของพยานหลักฐาน ซีซีทีวีไม่ใช่คำตอบสุดท้าย" พล.ต.อ.สมยศกล่าว

ไม่มีหลักฐานมือบึ้มเผ่นนอก
      พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ไม่เคยฟันธง ไม่เคยตัดประเด็นใดทิ้ง ไม่เคยบอกว่าเป็นเรื่องการเมือง ความขัดแย้งส่วนตัว ขัดแย้งธุรกิจ ทุกเรื่องเป็นไปได้ อาจเป็นการเมืองขัดแย้งไม่ชอบหน้า ไม่ชอบคนชาตินั้นชาตินี้ เป็นเรื่องความเชื่อศาสนาก็ได้ เป็นไปได้ทุกเรื่อง ย้ำว่าจะตัดประเด็นเมื่อมีหลักฐานชัดว่าเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพียงตั้งสมมติฐานทุกเรื่อง ถ้าจะพูดว่าเขาเดินทางออกต่างประเทศ ต้องมีหลักฐาน มีผลตรวจเช็กที่เชื่อได้ว่าเดินทางออกนอกประเทศ
     ต่อข้อถามว่าระเบิดที่สาทรกับแยกราชประสงค์เชื่อมโยงกันหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่ามีหลายๆ เหตุที่น่าจะเชื่อมโยง เมื่อถามว่าทำไมคนร้ายที่แยกราชประสงค์ต้องนั่งรถจากสาทร และสับเปลี่ยนรถที่หัวลำโพงเพื่อมาก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสันนิษฐานหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่าเป็นทฤษฎีของคนร้าย ที่ต้องการเปลี่ยนจุด เปลี่ยนรถ เปลี่ยนอะไรให้วุ่นวายไปหมด อันนี้เป็นแผนประทุษกรรมคนร้าย ใครขี้เกียจก็ไม่ต้องทำมาก คนที่ขยันและมีความเชี่ยวชาญก็สร้างเรื่องจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

โวยสื่อต่างชาติจ้องทำลายไทย
      ผู้สื่อข่าวถามว่า ตำรวจยังโฟกัสไปยังกลุ่มชาวอาหรับและเติร์กเมนิสถานหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่าก็เห็นหนังสือพิมพ์ลงว่าชายหน้าตี๋ จะไปบอกว่าชาวอาหรับได้อย่างไร หรือบางสื่อญี่ปุ่นก็เอาไปเขียนว่าเจอเป้ ตนยังไม่เคยเห็นเลย ถ้ามีจริงก็จะให้น้ำหนัก แต่ถ้าไม่มีจริงบางครั้งเราก็มามองหน้ากันในที่ประชุมว่าอยู่ที่ไหน อย่างสื่อต่างชาติบอกว่าได้เก็บชิ้นส่วนมาแล้วก็มามอบให้ตำรวจและจะเอามามอบให้ตน และพอมอบไม่ได้ ก็บอกว่าไม่ยอมรับ ก็งงๆ เวลานำเสนอก็ขาดๆ ตอนๆ นำเสนอแต่เฉพาะช่วงที่หน่วยงานของรัฐ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย
     "อย่างวันที่เกิดเหตุ ผมเดินทางไปดู ก็ไปเจอสายไฟ ก็สรุปไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่อีโอดี ผมเรียกเจ้าหน้าที่อีโอดีมาถามว่าน่าจะเป็นอะไร เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ใช่ อันนี้เป็นฟิวส์หลอดไฟที่แตกและตกลงมา เพราะเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่จะตอบได้ อย่างสื่อต่างประเทศไปเก็บอะไรมาก็ไม่รู้ เก็บมาแล้วก็มาให้ตำรวจบอกว่าชิ้นส่วน คุณรู้ได้อย่างไร เป็นอีโอดีหรือ หรือคุณเรียนมา เลอะเทอะ หาเรื่อง สื่อประเภทนี้จ้องจะทำลายประเทศไทยอยู่แล้ว ไม่น่าเข้ามาประเทศไทยเลย กลับบ้านไป" ผบ.ตร.กล่าว

ตรวจธนบัตร-หาดีเอ็นเอแล้ว
     พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตม.ทำงานอย่างเต็มที่ เอารูปคนร้าย หรือผู้ต้องสงสัยไปแปะไว้ทุกที่ ทุกเกสต์เฮาส์ ทุกโรงแรม เพื่อให้ประชาชนเป็นหูเป็นตา พบผู้ต้องสงสัยก็รีบรายงานเรา ถึงได้ไปตรวจสอบทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรณีชาวฝรั่งเศสที่เดินทางออกไม่ได้ แม้แต่เราไปตรวจสอบขอความร่วมมือทางมาเลเซียไปตรวจสอบถึงกัวลาลัมเปอร์ พูดง่ายๆ เราทำทุกอย่าง อยากให้ทำอะไรก็บอกมาจะทำให้ช่วยกัน ถึงเวลาที่คนไทยต้องลืมความขัดแย้ง ความเห็นต่าง ความไม่ชอบ ต้องคิดถึงประเทศไทยแล้วตอนนี้ ถ้าเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะมาช่วยเรา ไม่มีทาง นอกจากคนไทยต้องช่วยกันเอง


โพสต์ป่วน - ตำรวจบช.ภาค 7 แถลงจับกุมนายธัณธร ทองโสภา อายุ 19 ปี โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กลักษณะข่มขู่ว่าจะมีการวางระเบิดบริเวณตลาดนัดเปิดท้าย ห้างโลตัส สาขาสุพรรณบุรี สารภาพทำไปเพราะความเมา เมื่อวันที่ 24 ส.ค.


      ผู้สื่อข่าวถามถึงผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาหรือยัง พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ยัง จริงๆ แล้วธนบัตรใบละ 20 บาท ไปตรวจก่อนเป็นข่าว 3 วันแล้ว แต่เราไม่ได้บอกเอง ไม่รู้ว่าใครมาเปิดเผยและก็เป็นข่าว ตรวจตั้งแต่วันที่เราเจอตัวคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง พอเจอและได้ตัวมาเขาบอกว่าคนร้ายให้เงินไว้ 40 บาท เป็นแบงก์ 20 จำนวน 2 ใบ เจ้าหน้าที่ก็ขอมาตั้งแต่วันนั้น

ค้นที่พักต่างชาติ-ยังไร้วี่แวว
      ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต. ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น. กล่าวว่า คดีคืบหน้าไปมากพอสมควร ได้รับแจ้งเบาะแสที่มีประโยชน์ต่อคดีเพิ่มเติม แต่อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบ ทั้งตัวบุคคลและพยาน ส่วนมีข่าวว่าคดีศาลพระพรหมนั้นมีรถแท็กซี่เขียวเหลืองรับผู้ต้องหาจากย่านยานนาวา ก่อนจะขึ้นรถตุ๊กตุ๊กที่หัวลำโพง ตรงนี้ยังไม่ยืนยัน อยู่ระหว่างตามตัวแท็กซี่มาให้ปากคำ รวมถึงกรณีที่ระบุว่ามือวางระเบิดเปลี่ยนเสื้อเป็นสีเทา และเข้าไปอยู่ในบริเวณร.พ.จุฬาลงกรณ์นั้น ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบเช่นกัน
      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการระดมปราบปรามอาชญากรรมภายใต้ยุทธการปิดเมืองค้นรังโจรนั้น ผลการเอกซเรย์ คอนโดมิเนียม หอพัก เกสต์เฮาส์ที่ชาวต่างชาติพักอาศัย รวม 4,615 หลัง จับกุมผู้ต้องหา 139 ราย อาวุธปืนสั้น 3 กระบอก เครื่องกระสุนปืน 64 นัด ยาบ้า 454 เม็ด ยาไอซ์ 10.75 กรัม กัญชา 21.38 กรัม ใบกระท่อม 3,223 ใบ เคตามีน 3.02 กรัม โอปราโซแลม 3 เม็ด แต่ไม่พบเบาะแสของมือระเบิดตามหมายจับหลบซ่อนอยู่

พบระเบิด-แต่ไม่โยงบึ้มกรุง
        เวลา 09.40 น. ตำรวจ สน.พระโขนง รับแจ้งเหตุพบระเบิดภายในซอยสุขุมวิท 81 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม. จึงประสานเจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี ไปตรวจสอบพบเป็นพื้นที่ก่อสร้าง จึงกันผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ สถานที่ดังกล่าวเตรียมก่อสร้างอพาร์ตเมนต์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาขณะที่คนงานขุดเจาะพื้นดินเตรียมลงเสาเข็ม พบลูกระเบิด พร้อมสลักขึ้นสนิม 1 ลูก
      ขณะที่ด.ต.เทวราช กุลทนาวงศ์ ผบ.หมู่ เจ้าหน้าที่อีโอดี กล่าวว่า ตรวจสอบเบื้องต้นพบเป็นระเบิดชนิดสังหารแบบขว้าง ที่มีสลัก แม้จะมีสนิมและมีสภาพคล้ายระเบิดเก่าที่ถูกฝังมานานแล้ว แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสภาพ พร้อมใช้งาน คล้ายกับระเบิดชนิดเอ็ม 28และจากการตรวจสอบล่าสุดของเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีระเบิดกลางกรุงที่ผ่านมา

จับนักข่าวฮ่องกง-เสื้อเกราะ
      พ.ต.อ.สันติ วรรณรักษ์ ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สมุทรปราการ เปิดเผยว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกันคุมตัวนายกวาน ฮ็อก จุน อายุ 29 ปี ผู้สื่อข่าวจากฮ่องกง พร้อมเสื้อเกราะ 1 ตัว หลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจค้นประจำเครื่องเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารจะเดินทางออกนอกประเทศ ประจำจุดตรวจค้นโซน 2 อาคารผู้โดยสารขาออกชั้น 5 ตรวจพบเสื้อเกราะสีกรมท่าคาดแถบสีดำในกระเป๋าเดินทาง และเตรียมเดินทางไปฮ่องกง
      จากการสอบสวนให้การยอมรับว่า เสื้อเกราะตัวดังกล่าวทางบริษัทต้นสังกัดให้นำมาใส่ขณะทำข่าวในประเทศไทย และเตรียมเดินทางกลับ โดยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งของต้องห้ามนำออกนอกประเทศ หรือมีไว้ครอบครอง ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา แต่ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาว่ามีเครื่องยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
      โดยล่าสุดวันที่ 24 ส.ค. นี้ ถูกนำตัวไปศาลจังหวัดสมุทรปราการ และศาลรับฟ้องข้อหามีอาวุธในครอบครองโดยไม่มีใบอนุญาต ก่อนได้รับการประกันตัว แต่ยังไม่อนุญาตให้เดินทางออกจากประเทศไทย และคดีนี้จะพิจารณาในศาลทหาร

"เอเอฟพี"ตีข่าว-ตั้งข้อสังเกต
      สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือเอฟซีซีที แถลงวิพากษ์วิจารณ์กรณีนายแอนโทนี กวาน ฮ็อก จุน ผู้สื่อข่าวของ "อินิเทียม มีเดีย กรุ๊ป" ของฮ่องกงถูกทางการไทยจับกุม ขณะเตรียมเดินทางออกนอกประเทศที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในข้อหาพกพายุทธภัณฑ์ หลังพบนายแอนโทนีมีเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุนในครอบครอง โดยนายแอนโทนีระบุว่าใช้เป็นอุปกรณ์นิรภัยขณะรายงานข่าวเหตุระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ ที่มีผู้เสียชีวิต 20 ราย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมเปิดเผยกับเอเอฟพีว่าถูกตำรวจควบคุมตัวไว้ที่สนามบิน และจะถูกนำตัวไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ศาล
     เอฟซีซีที ระบุในแถลงการณ์ว่า นายแอนโทนีถูกตั้งข้อหาพกพาอาวุธผิดกฎหมาย มีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 5 ปี และจะถูกนำตัวไปดำเนินคดีในศาลทหาร พร้อมวิจารณ์ว่าเสื้อเกราะและหมวกกันกระสุนของนักข่าวไม่ใช่อาวุธที่ใช้ทำร้ายผู้อื่นได้ และไม่ควรถูกกำหนดให้เป็นอาวุธ เอฟซีซีทีระบุว่า จะหารือกับรัฐบาลไทยเพื่อหาทางออกกรณีที่เกิดขึ้น และขอให้ผู้สื่อข่าวสามารถหาซื้อและพกพาอุปกรณ์นิรภัยในการรายงานข่าวได้อย่าง เพียงพอ

จับหนุ่มโพสต์บึ้มสุพรรณฯ
      ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.วีรพงษ์ ชื่นภักดี ผบช.ภาค 7 และพล.ต.ต.มงคล วรุณโณ ผบก.สุพรรณบุรี แถลงจับนายธัณธร ทองโสภา อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 191 หมู่ 5 ต.หนองสะเดา อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ดำเนินคดีข้อหาแกล้งบอกเล่าความเท็จให้เลื่องลือ เป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ และก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
      ผบก.สุพรรณบุรี กล่าวว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กว่าระเบิดกรุงเทพมหานคร และข้อความข่มขู่วางระเบิดตลาดนัดเปิดท้าย ห้างโลตัส สาขาสุพรรณบุรี ต่อมาพบวัตถุต้องสงสัยจริงในบริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่อีโอดีเก็บกู้และทำลาย ปรากฏว่าไม่ใช่วัตถุระเบิด จึงสืบทราบและเข้าจับกุมผู้ต้องหารายนี้ โดย ผู้ต้องหารับสารภาพว่านั่งดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าตลาดเปิดท้ายหน้าห้าง พบเห็นชาวอังกฤษที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือเดินผ่านมาจึงถ่ายรูปและโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก จนมีคนเข้ามาดูข้อความและแชร์ต่อเป็นจำนวนมากจนเป็นเหตุดังกล่าว

สุ่มสอบแท็กซี่-หาเบาะแสเพิ่ม
      ที่ บช.น. ตลอดช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รองผบช.น. เรียกประชุมชุดคลี่คลายคดีระเบิด ใช้เวลาประชุมนาน 1 ชั่วโมง โดยมีรายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ชุดสืบสวนสุ่มเชิญโชเฟอร์แท็กซี่ในกทม. โดยเน้นเฉพาะแท็กซี่สีเขียว-เหลือง จำนวน 15 คัน มาให้ข้อมูลและบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน เพื่อหาเบาะแสมือวางระเบิด และในวันที่ 24 ส.ค.นี้ ฝ่ายสืบสวนสุ่มเชิญตัวโชเฟอร์แท็กซี่มาให้ข้อมูลอีก
     จากการเฝ้าสังเกตพบว่าเน้นแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีเขียวเหลือง ทะเบียนขึ้นต้นหมวดอักษร "มฏ" ตามด้วยหมวดตัวเลข "2" เจ้าหน้าที่บันทึกภาพด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังของรถแท็กซี่ไว้เป็นข้อมูล เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับภาพวงจรปิดรถแท็กซี่ที่คนร้ายนั่งไปก่อเหตุวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบจำนวนรถแท็กซี่ที่ถูกเชิญมาให้ข้อมูล เพราะเจ้าหน้าที่ยังคงทยอยเชิญโชเฟอร์แท็กซี่มาให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ในเบื้องต้นยังไม่พบตัวโชเฟอร์แท็กซี่ที่รับคนร้ายไปแต่อย่างใด
      จากการตรวจสอบของชุดสืบสวนยังพบด้วยว่า ทีมคนร้ายใช้การสื่อสารระหว่างกันผ่านทางโทรศัพท์มือถือ แต่ติดต่อกันผ่านโปรแกรมแช็ต และผ่านทางสัญญาณอินเตอร์เน็ต ไม่ได้พูดคุยกันโดยตรงทางสัญญาณโทรศัพท์

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!