- Details
-
Category: กฎหมาย-คดีความ
-
Published: Friday, 20 October 2023 16:26
-
Hits: 1782
กฤษณ์-กรณ์ พร้อมทนายความกางหลักฐานชิ้นสำคัญ ลบทุกข้อสงสัยครอบครัวณรงค์เดช ชี้ชัดนายเกษม บิดาโดนปลอมลายเซ็นจริง
จากกรณีที่สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายณพ ณรงค์เดช และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา กับพวกในข้อหาปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ตั้งแต่ปี 2564 เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1708/2564 กรณีที่นายณพ อ้างว่านายเกษม (บิดา) เป็นตัวแทนให้กับคุณหญิงกอแก้ว (แม่ยาย) ในการซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอยี โฮลดิ้ง จำกัด และการโอนหุ้นวินด์ เอนเนอยี ไปให้บริษัทโกลเด้น มิวสิค ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ครอบครัวมีแถลงการณ์ประกาศตัดนายณพ ออกจากตระกูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561
ที่ผ่านมานายเกษมได้ถูกเข้าใจผิดมาตลอดระยะเวลาหลายปีว่า การที่นายเกษม และครอบครัวณรงค์เดช ออกมาพูดเรื่องการถูกปลอมลายมือชื่อ เพื่อโอนหุ้นของนายเกษมไปให้แก่คุณหญิงกอแก้ว เป็นเรื่องไม่จริง ทั้งที่มีการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของนายเกษมในเอกสารปัญหาดังกล่าวโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ที่ผลปรากฎจากการตรวจสอบจากทั้ง 2 สถาบันล้วนยืนยันออกมาตรงกันว่า เป็นลายมือชื่อปลอม ซึ่งครอบครัวณรงค์เดชได้ใช้ความอดทนเพื่อรอการพิสูจน์โดยกระบวนการยุติธรรมเรื่อยมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ1753/2566 โดยศาลมีคำสั่งพิพากษาว่า เอกสารจำนวน 5 ฉบับเป็นลายเซ็นปลอม กล่าวคือ
1) สัญญาซื้อขายหุ้นวินด์ ที่นายเกษม ทำกับบริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี (ประเทศไทย) จำกัด
2) หนังสือแต่งตั้งตัวแทน ที่นายเกษม รับเป็นตัวแทนของคุณหญิงกอแก้วในการซื้อหุ้นวินด์
3) ตราสารการโอนหุ้น ที่นายเกษม โอนหุ้นของบริษัทโกลเด้นมิวสิค ให้แก่คุณหญิงกอแก้ว
4) ใบซื้อขายหุ้น ที่นายเกษม ขายหุ้นบริษัทโกลเด้นมิวสิค ให้แก่คุณหญิงกอแก้ว
5) คำประกาศเจตนารมณ์ในการเป็นทรัสต์ ที่นายเกษม ประกาศว่า หุ้นบริษัทโกลเด้นมิวสิคเป็นของคุณหญิงกอแก้ว และผลประโยชน์ใดๆที่เกิดขึ้นจากหุ้นต้องตกเป็นของคุณหญิงกอแก้ว รายละเอียดของคดีดังกล่าวขอให้นายพิชา ป้อมค่ายทนายความของครอบครัวณรงค์เดชชี้แจงต่อไปโดยทนายความครอบครัว ณรงค์เดช กล่าวว่า
“ทั้งนี้ เอกสาร 5 ฉบับที่มีลายมือชื่อนายเกษม ที่ศาลมีคำพิพากษาว่า เป็นลายมือชื่อปลอม จึงถือว่าเป็นเอกสารปลอม ซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้ริบเอกสารทั้ง 5 ฉบับดังกล่าว ซึ่งการริบตามความหมายในคำพิพากษาศาลก็เพราะเอกสารปลอมถือเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดหรือโดยนำไปใช้ก็จะมีความผิด แต่คดีนี้ศาลได้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากฝ่ายโจทก์ (นายเกษม) ไม่สามารถยืนยันระบุได้ว่าจำเลยคนใดเป็นผู้ทำเอกสารปลอม
แต่ด้วยผลแห่งคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ดังกล่าวที่พิพากษาอย่างชัดเจนว่าเอกสารทั้ง 5 ฉบับเป็นเอกสารปลอม จึงถือได้ว่านายเกษมไม่เคยเป็นตัวแทนหรือนอมินีของคุณหญิงกอแก้วในการซื้อหุ้นวินด์ เอนเนอยี ตามที่นายณพ และคุณหญิงกอแก้วได้กล่างอ้างมาตลอด และเมื่อเอกสารเกี่ยวกับการโอนหุ้นบริษัทโกลเด้นมิวสิคระหว่างนายเกษม และคุณหญิงกอแก้วเป็นเอกสารปลอมการโอนหุ้นจึงไม่มีผลทางกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ”
การที่ครอบครัวณรงค์เดช ได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนในวันนี้ เพราะเพิ่งได้รับสำเนาคำพิพากษาจากศาล และได้ตรวจสอบข้อความในคำพิพากษาทั้งหมดแล้ว จากคำพิพากษาของศาลอาญากรุงเทพใต้ดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่นายเกษม และครอบครัวณรงค์เดชได้พูดกับสื่อมวลชนมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 ว่านายเกษมถูกปลอมลายมือชื่อ เพื่อโอนหุ้นวินเอนเนอยี ของครอบครัวออกไป เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
จึงขอนำเอาความจริงที่ศาลได้พิพากษามาแถลงแก่สื่อมวลชน เพื่อทำความเข้าใจกับสาธารณชนว่า ครอบครัวณรงค์เดชประกอบอาชีพ โดยสุจริต ไม่เคยคิดโกงใคร และนายเกษมเอง เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงไม่มีทางยินยอมเป็นนอมินีหรือเป็นตัวแทนให้แก่คุณหญิงกอแก้วอย่างแน่นอน และธุรกิจในเครือของครอบครัวณรงค์เดช ทั้งหมดได้แบ่งการบริหารงาน โดยนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ทายาทของครอบครัวที่เหลืออยู่เพียง 2 คนเท่านั้น”
Click Donate Support Web
- Details
-
Category: กฎหมาย-คดีความ
-
Published: Tuesday, 01 June 2021 09:30
-
Hits: 165
สกธ. เปิดตัวแอนิเมชันซีรีส์ 'ชุมชนประชาธรรม'สื่อสร้างสรรค์เพื่อเสริมองค์ความรู้ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสู่เยาวชน
สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ เปิดตัว แอนิเมชันซีรีส์ ‘ชุมชนประชาธรรม’ ในโครงการจัดทำสื่อสร้างสรรค์ เพื่อสื่อสารแนวคิดหลักนิติธรรม คุณธรรม และจริยธรรม ในศาสตร์พระราชาสู่เด็ก และเยาวชนไทย ‘ของขวัญจาก ‘ศาสตร์พระราชา’ คุณค่า ‘ยุติธรรม’ สู่เด็กและเยาวชน ไทย’ชูแนวคิดประมวลองค์ความรู้หลักนิติธรรมและคุณธรรมแห่งศาสตร์พระราชา ที่เกี่ยวกับกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมมาจัดทำสื่อสร้างสรรค์ในรูปแบบที่เข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย สามารถสร้าง ความรู้ความเข้าใจ พร้อมทั้งเผยแพร่ ไปยังเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป
โดยสื่อสาร ผ่านซีรีส์ ชุด ‘ชุมชนประชาธรรม’ ทั้งหมด 7 ตอน ในช่องทางต่างๆ เช่น โครงการโรงเรียนยุติธรรมอุปถัมภ์ การพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและเยาวชน ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน หรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับสร้างการรับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ศูนย์ยุติธรรมชุมชน สำนักงานยุติธรรมจังหวัด และสื่อสารบนสื่อออนไลน์ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม
พันตำรวจโท ดร.พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม เปิดเผยว่า ได้จัดทำโครงการผลิตสื่อสร้างสรรค์โดยได้รับการสนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ดีของเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว ชุมชน สังคม ด้วยการน้อมนำ ‘ศาสตร์พระราชา’ ในด้านหลักความยุติธรรรม อันเป็นองค์ความรู้ที่ทรงคุณค่า และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการน้อมนำ เพื่อการพัฒนา การส่งเสริมหลักนิติธรรม (Rule of Law) หลักคุณธรรมและนำไปสู่การสร้างสังคมแห่งการเคารพกฎหมาย (Culture of Lawfulness)
สำหรับ การจัดทำสี่อเผยแพร่ครั้งนี้ ดำเนินการภายใต้แนวคิดของการจัดทำสื่อสร้างสรรค์เพื่อมอบให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นต้นกล้าของสังคม ได้เข้าใจ และรับรู้ถึงหลักนิติธรรม หลักคุณธรรม และหลักความยุติธรรม ที่เป็นรากฐานอันสำคัญของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ในการสร้างให้สังคม ชุมชนไทย อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขภายใต้กฎ กติกา
โดยสื่อสร้างสรรค์นี้ จัดทำในรูปแบบภาพยนตร์แอนิเมชันซีรี่ส์ ผ่านแนวคิดของ’ชุมชนประชาธรรม’ ซึ่งต้องการสร้างให้เป็นชุมชนต้นแบบ ในการใช้หลักความยุติธรรมในการอยู่ร่วมกัน ในบทภาพยนตร์แอนิเมชัน มีตัวละครที่สะท้อนภาพเหตุการณ์ของสังคมที่น่าสนใจในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นสื่อที่เหมาะสมสำหรับเผยแพร่ในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยเนื้อหาได้มุ่งหมายให้เกิดการปลูกฝัง คุณธรรมและจริยธรรมตามหลักนิติธรรม เพื่อนำไปสู่สังคมแห่งความสงบสุขอย่างยั่งยืน และสื่อสร้างสรรค์นี้ ยังแทรกเนื้อหาของกฎหมายที่สำคัญในชีวิตประจำวัน
ตลอดจนเชื่อมโยงในภารกิจของกระทรวงยุติธรรมในด้านการสร้างการรับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเองความเสมอภาคและความเท่าเทียมในสังคม การรู้เท่าทันภัยของอาชญากรรมและโทษของยาเสพติดการให้โอกาสผู้ที่เคยพลาดพลั้งเป็นผู้กระทำผิดของสังคม รวมถึงการแก้ไขความขัดแย้งด้วยกระบวนการไกล่เกลี่ย เพื่อสร้างสังคมสงบสุขและสมานฉันท์
การเผยแพร่จะผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ ด้วยสื่อ DVD Box set และสื่อสังคมออนไลน์ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาครวมถึงศูนย์ยุติธรรมชุมชน โรงเรียนยุติธรรมอุปถัมภ์ และเครือข่ายยุติธรรมชุมชน โดยสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรมมีความมุ่งหมายว่า สื่อสร้างสรรค์ให้กับประชาชน ที่ผลิตออกสู่สังคมนี้นอกจากจะเป็นส่วนสำคัญให้เด็ก และเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
รวมถึงประชาชนทั่วไปได้รับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่สำคัญ ในการอยู่ร่วมกันในสังคม และร่วมกันสร้างสรรค์สังคมแห่งการเคารพกฎหมายแล้ว Culture of Lawfulness ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่ากระทรวงยุติธรรมจะเป็นหน่วยงานที่ส่งเสริมความยุติธรรม ให้กับประชาชน โดยการบริการงานยุติธรรมให้เข้าถึงโดยง่าย สะดวก และทั่วถึง
โครงการนี้สำเร็จได้ด้วยการได้รับความอนุเคราะห์จากท่านหม่อมหลวงปนัดดา ดิสกุล ที่ให้เกียรติรับเป็นที่ปรึกษาโครงการ รวมถึงผู้สนับสนุนทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ อันได้แก่ ผู้จัดการกองทุนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงานติดตามและประเมินผลฯ ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในการผลักดันโครงการให้ประสบความสำเร็จด้วยดี ทำให้กระทรวงยุติธรรมมีสื่อที่สามารถนำไปต่อยอดยังกลุ่มเป้าหมายในภารกิจของกระทรวงยุติธรรมทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ต่อไป
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ จัดทำสื่อสร้างสรรค์ เพื่อสื่อสารแนวคิดหลักนิติธรรม คุณธรรม และ จริยธรรม ในศาสตร์พระราชาสู่เด็กและเยาวชนไทย ‘ของขวัญจาก ‘ศาสตร์พระราชา’ คุณค่า ‘ยุติธรรม’ สู่เด็กและเยาวชนไทย’ เป็นการสื่อสาร ‘แนวคิด’ หรือ ‘องค์ความรู้’ ศาสตร์พระราชาอันทรงคุณค่าและมีความสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการสื่อสารในรูปแบบแอนิเมชัน ซีรีส์ที่จะส่งเสริมการดำเนินงานตามนโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรม คือ การสร้างการรับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป เข้าใจได้ง่าย ได้เรียนรู้องค์ความรู้ผ่านเรื่องใกล้ตัวที่ เกิดขึ้นในชีวิตจริง และให้ใช้ประโยชน์จากแนวคิดที่ได้รับรู้ให้ เปรียบเสมือนได้รับ ‘ของขวัญที่ยิ่งใหญ่’ เพราะแม้ว่าจะมีกฎหมายที่ดีขนาดไหน
หากคนในชุมชนไม่รักษากฎกติกา อย่างมั่นคงแล้ว กฎหมายที่ว่าดีเหล่านั้น ก็ไม่สามารถรักษาความสงบสุข โดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสังคมที่สงบสุขได้ โดยกฎหมายกับประชาชนเป็นของคู่กัน และกฎหมายก็มีความสำคัญกับทุกคน ฉะนั้นจึงควรปลูกฝังให้เด็ก และเยาวชนไทยมีความรู้ ความเข้าใจ ในบทบาทของหน้าที่พลเมือง ในการรักษากฎของสังคม ซึ่งนั่นก็คือ'กฎหมาย' ที่จะเป็นการสร้างรากฐานแห่งวัฒนธรรมเคารพกฎกติกา หรือ culture of lawfulness เพื่อการอยู่ร่วมกันได้โดยปราศจากความขัดแย้ง ก่อให้เกิด ความสงบสุข เรียบร้อย และปลอดภัย ทั้งกับคนในชุมชน สังคม และ ประเทศชาติ ตามหลักนิติธรรม
“สำหรับ โครงการนี้ ก็จะส่งเสริมให้เด็ก และเยาวชนไทย รวมถึงคนไทย ทุกคน ได้เห็นถึงความสำคัญของการเคารพกฎหมาย โดยปลูกฝัง ผ่านซีรีส์ ชุด ‘ชุมชนประชาธรรม’ ทั้งหมด 7 ตอน - ซึ่ง ‘ชุมชนประชาธรรม’ ก็เปรียบเสมือนแบบจำลองของสังคมไทย ที่มี คนหลากหลายประเภท หลากหลายรูปแบบ อาศัยอยู่ร่วมกัน ภายใต้ กฎหมาย กฎกติกาของชุมชน แต่เมื่อใดที่มีคนละเมิดกฎหมาย ก็จะทำให้ เกิดปัญหา เกิดความวุ่นวาย โดยแต่ละตอนของซีรีส์ ได้ปลูกฝังให้ผู้ชมได้รู้ ถึงความสำคัญของกฎหมาย เพราะกฎหมายมีไว้เพื่อเป็นบรรทัดฐานใน การรักษาสังคมให้อยู่กันได้อย่างสงบสุข ไม่ใช่เป็นเพียงบทลงโทษหรือ ระเบียบบังคับกับคนในสังคมเท่านั้น - ถ้าได้ชมในซีรีส์บางตอนยังทำให้รู้ว่า สิ่งที่ทุกคนทำกันอยู่นั้น อาจเป็น การละเมิดตัวกฎหมายได้ เช่น “การไลฟ์สดที่พาดพิงเป็นโทษต่อผู้อื่น แม้ไม่ได้ตั้งใจ ก็เป็นการหมิ่นประมาทได้”
ดังนั้น เด็กและเยาวชน หรือ แม้กระทั่งคนทั่วไปควรจะศึกษาไว้ - และยังมีอีกหลายๆ ตอนที่น่าสนใจ สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งในท้ายตอนเรายังให้เกร็ดความรู้ว่าในแต่ละตอน เราใช้หลักกฎหมาย หลักนิติธรรม จริยธรรม ด้านใด” ม.ล.ปนัดดา กล่าว
สำหรับ การเผยแพร่แอนิเมชันซีรีส์ 'ชุมชนประชาธรรม' ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักไว้ คือ การเผยแพร่ในโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น โครงการโรงเรียนยุติธรรมอุปถัมภ์ การพัฒนาพฤตินิสัยเด็กและ เยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน โครงการหรือกิจกรรม เกี่ยวกับการสร้างการรับรู้กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ศูนย์ยุติธรรม ชุมชน สำนักงานยุติธรรมจังหวัด รวมถึงช่องทางสื่อสังคม (Social Media) ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย สำหรับเยาวชนและประชาชนทั่วไป สามารถรับชม แอนิเมชันซีรีส์ ‘ชุมชนประชาธรรม’ ฉบับเต็มทั้ง 7 ตอน และกิจกรรมต่างๆ หรือข่าวประชาสัมพันธ์อื่นๆ ได้ที่ Facebook page สำนักงานกิจการยุติธรรม หรือ รับชมผ่านทาง Youtube ได้ที่ช่อง Justice Channel
สอบถามรายละเอียดประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมกรุณาติดต่อ คุณเดือนเด่น รัตตะมาน โทรศัพท์ 084-2229646
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web
- Details
-
Category: กฎหมาย-คดีความ
-
Published: Tuesday, 28 April 2015 09:56
-
Hits: 4619
อินโฟเควสท์ยื่นฟ้องบิสนิวส์ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญา กรณีละเมิดงานอันมีลิขสิทธิ์
บริษัทอินโฟเควสท์ จำกัด บริษัทชั้นนำผู้ให้บริการข้อมูลข่าวสารทางการเงิน และหุ้นที่มีชื่อว่าบริการแอสเพน (Aspen) ได้ยื่นฟ้องบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือของรอยเตอร์ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ในกรณีที่บิสนิวส์ได้นำเอาข้อมูลอันมีลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ บทวิเคราะห์หุ้น และการลงทุน และข้อมูลอื่นๆ ของอินโฟเควสท์ไปใช้บนบริการของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต
บริษัท ที่ปรึกษากฎหมาย ไพบูลย์ จำกัด ที่ปรึกษากฎหมายของบริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2558 บริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด ผู้ให้บริการและเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์ในบริการข้อมูลข่าวสารทางการเงิน และหุ้นที่มีชื่อว่า บริการแอสเพน ได้ยื่นฟ้องบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จำกัด และกรรมการของบริษัทรวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้อง (บิสนิวส์) ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.408/2558 ในข้อหาร่วมกันกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 กรณีที่บิสนิวส์ได้นำเอาข้อมูลลิขสิทธิ์ที่เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ บทวิเคราะห์หุ้นและการลงทุน และข้อมูลอื่นๆ ของอินโฟเควสท์ที่เผยแพร่ทางบริการแอสเพนและทางบริการอื่นๆ ของอินโฟเควสท์ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยบิสนิวส์ได้นำเอาข้อมูลดังกล่าวไปให้บริการแก่สมาชิกของตนเองแบบเรียกเก็บค่าบริการผ่านทางโปรแกรมชื่อ BISNEWS Professional อันเป็นเหตุให้อินโฟเควสท์ได้รับความเสียหาย
ศาลได้กำหนดนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 รวมทั้งศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ปิดระบบคอมพิวเตอร์เป็นการชั่วคราวเพื่อทำสำเนาเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ของบิสนิวส์ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการโปรแกรมชื่อ BISNEWS Professional เพื่อมาใช้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์การกระทำความผิดและประกอบการพิจารณาคดีของศาล โดยเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2558 เจ้าพนักงานตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) โดยความร่วมมือของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นสำนักงานของบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จำกัด ณ อาคารอื้อจือเหลียง เพื่อทำสำเนาและตรวจยึดข้อมูลของบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จำกัด และนำไปตรวจพิสูจน์ประกอบการดำเนินคดีต่อไป
โดยภายหลังจากการฟ้องคดีนี้ อินโฟเควสท์อาจพิจารณาฟ้องร้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย และคดีอาญากับบิสนิวส์และผู้อื่นเพิ่มเติม หากตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการกระทำความผิดของบิสนิวส์ หรือกระทำการใดๆที่ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ ที่ปรึกษากฎหมายของอินโฟเควสท์ ยังได้ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการระบบโปรแกรม BISNEWS Professional ระงับการใช้และยุติการกระทำใดๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทโดยทันที
บริษัท อินโฟเควสท์ จำกัด ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2533 มีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ให้บริการ Aspen Mobile, Aspen for Windows และ Aspen for Browser ในประเทศไทย และยังให้บริการข้อมูลข่าวสารอื่นๆ เช่น บริการนิวส์เซ็นเตอร์ และ บริการไอคิวนิวส์คลิป แก่สถาบันการเงิน ผู้ใช้งานมืออาชีพ และบริษัทชั้นนำต่างๆ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติของบริษัท บิสนิวส์ เอเอฟอี (ประเทศไทย) จากเว็บไซต์ www.bisnews.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของบิสนิวส์พบว่าบิสนิวส์ได้มีการก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2547 โดยเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท รอยเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เอเอฟอี โซลูชั่น จำกัด จากฮ่องกงซึ่งเป็นบริษัทในเครือของรอยเตอร์
ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ: บริษัท ที่ปรึกษากฎหมายไพบูลย์ จำกัด โทร. 02-6512121
- Details
-
Category: กฎหมาย-คดีความ
-
Published: Wednesday, 29 July 2015 00:05
-
Hits: 7397
4 ส.ค.นี้บังคับใช้พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ เตือนอย่าแอบอ้างผลงานผู้อื่น
แนวหน้า : พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าการบังคับใช้ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 (การคุ้มครองข้อมูลการบริหารสิทธิและกำหนดข้อยกเว้นการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดง) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไปนั้น มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครองผู้สร้างสรรค์ผลงานทุกประเภทที่เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปของทั้งผู้สร้างสรรค์ผลงาน และผู้จ้องที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากงานนั้น ซึ่งใน พรบ.ลิขสิทธิ์เดิม มิได้ระบุโทษชัดเจน สำหรับพฤติกรรมความผิดการละเมิดทางอินเทอร์เน็ต แต่ในพรบ.นี้ กำหนดโทษไว้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์ค นำภาพ หรือ วิดีโอ ที่ได้จากการค้นหา ใน google หรือ บริการเว็ปไซต์ค้นหาอื่นๆ แล้วนำมาตัดชื่อเครดิตออก เพื่อแอบอ้างว่า เป็นผลงานของตนเอง หรือ นำภาพ หรือ คลิปวิดีโอไปใช้ในทางการค้า กฎหมายฉบับนี้จะครอบคุลมมากขึ้น ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์ สามารถฟ้องร้องผู้แอบอ้างได้ โดย หากผู้ใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ค ที่เป็นบุคคลธรรมดา นำภาพไปโพสต์ต่อ โดยยังให้เครดิต เจ้าของภาพอยู่ ถือว่า ไม่มีความผิด แต่หาก เป็นนิติบุคคล อาจจะมีความผิดข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ จึงควรขออนุญาต เจ้าของลิขสิทธิ์ก่อนจะนำภาพไปใช้
"กฎหมายกำหนดให้ผู้กระทำผิดมีโทษปรับ 10,000-100,000 บาท และหากเป็นการกระทำเพื่อการค้า จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน - 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบสิ่งของละเมิดลิขสิทธิ์ หรือ ศาลอาจสั่งให้ทำลาย โดยผู้ละเมิดต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการทำลาย ทั้งนี้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฉบับใหม่ จะช่วยคุ้มครองผู้สร้างสรรผลงาน ที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต โดยกฎหมายยังเปิดช่องให้เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวจริง สามารถบังคับให้ผู้ที่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ยุติการละเมิด เป็นแรงจูงใจให้คนอยากผลิตนวัตกรรม และผลงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ผลจากกฎหมายฉบับนี้ เชื่อว่า จะทำให้ นโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) เติบโตได้อย่างยั่งยืน”พล.ต.สรรเสริญ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2558 สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.ipthailand.go.th หรือ สายด่วน 1368