WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

มติ ป.ป.ช.เอกฉันท์ 7:0 ส่งเรื่องให้กับวุฒิสภาถอดถอด 'ยิ่งลักษณ์'คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ชี้ การถอดถอนเว้นวรรค 5 ปี ส่วนคดีอาญาให้ไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป

     มติ ป.ป.ช.เอกฉันท์ 7:0 ส่งเรื่องให้กับวุฒิสภาถอดถอด 'ยิ่งลักษณ์'คดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ชี้ ในส่วนของการถอดถอนมีเรื่องของการห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลา 5 ปี  ส่วนคดีอาญาให้ไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปจนกว่าจะสิ้นกระแสความ  ลั่น รับลูก ศาลฯ เพื่อดำเนินการกับครม.ทั้งชุด ไม่เป็นความจริง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชุดใหญ่  มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ส่งเรื่องให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีละเลย เพิกเฉยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

   นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ(ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า วันนี้คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติให้ชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตรักษาการนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในโครงการจำนำข้าว หลังจากนี้ จะส่งเรื่องต่อไปยังวุฒิสภา เพื่อพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนการถอดถอน ต่อไป

    "ป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นโดยสรุปว่า มีมูลเพียงพอที่จะดำเนินการ ส่งให้วุฒิสภาเพื่อดำเนินการถอดถอนต่อไปได้ มีมติ 7 ต่อ 0 ว่า มีข้อมูลเพียงพอเพื่อถอดถอนให้วุฒิสภาดำเนินการต่อไป" นายปานเทพ กล่าวแถลงข่าว

      นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะโฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการมีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจใช้อำนาจหน้าที่ ขัดต่อกฏหมาย โดย นายกรัฐมนตรีที่กำหนดนโยบายจำนำข้าว  ซึ่ง ป.ป.ง มีหนังสือแจ้งไป 2 ครั้งแล้ว ว่าโครงการนี้จะทำความเสียหาย ก่อให้เกิดการทุจริต  มีการรายงานผลขาดทุนถึง 3 แสนกว่าล้านบาท และ สำนักงานตรวจเงินแผ่นกดิน (สตง.) แจ้งหนังสือว่าโครงการนี้มีความเสี่ยงทุจริตในทุกขึ้นตอน ซึ่งเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ  ซึ่งขัดต่อนโยบายรัฐบาล ที่ระบุป้องกันการการทุจริต  ซึ่งไม่มีการยับยั้ง จงใจ ส่อใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฏหมายบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนดำเนินดีอาญาพิจารณาไต่สวนต่อไป

    นายวิชา แถลงว่า การชี้มูลเพื่อดำเนินการถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรี  องค์คณะไต่สวนมีมติ 7 ต่อ 0 เสียง เห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรธน. เป็นเหตุแห่งการถอดถอนผู้ถูกกกล่าวหาออกจากตำแหน่ง จึงให้แยกสำนวนการถอดถอนส่งให้วุฒิสภา ส่วนคดีอาญาที่ประชุมให้ไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปจนกว่าจะสิ้นกระแสความ 

    ทั้งนี้ การถอดถอนที่ยื่นไปนั้น ก็จะมีเรื่องของการห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลา 5 ปีด้วย  สำหรับในส่วน นายนิวัฒน์ ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวข้องกับกรณีไต่สวนคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าววันนี้

     ส่วน ตามที่มีข่าวแพร่สะพัดมาว่าป.ป.ช.รับลูกมาเพื่อดำเนินการกับครม.ทั้งชุดนั้น นายวิชา กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด

    สำหรับ รายละเอียดแถลงข่าว ดังนี้

    ตามที่ประธานวุฒิสภาได้ส่งคำร้องขอให้วุฒิสภาถอดถอน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวและเหตุมีเหตุควรสงสัยว่า นายกรัฐมนตรีเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นตามอำนาจหน้าที่โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ไต่สวนข้อเท็จจริงโดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะเป็นองค์คณะในการไต่สวน นั้น

    บัดนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะได้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 0 เสียงเห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหามีมูลเป็นการส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 และเป็นการส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่ง จึงนำเสนอสำนวนดังกล่าวต่อคณะกรรมาการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาในวันนี้

     คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและอยู่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลซึ่งได้กำหนดนโยบายจำนำข้าวมาตั้งแต่ต้น และในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและการมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการ ซึ่ง ป.ป.ช.ได้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้ถูกกล่าวหาถึงสองครั้งแล้วว่าโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดปัญหาและความเสียหายอย่างยิ่ง ทั้งจะก่อให้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอนของกระบวนการรับจำนำ นอกจากนี้ผู้ถูกกล่าวหายังรับทราบปัญหาในการดำเนินโครงการจากการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมา ว่ามีผลขาดทุนสะสมสูงถึง สามแสนกว่าล้านบาท อีกทั้งหนังสือของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแจ้งผลการตรวจสอบโครงการสรุปได้ว่าโครงการมีจุดอ่อนหรือความเสี่ยงในทุกขั้นตอนตั้งแต่การขึ้นทะเบียนเกษตรกรจนถึงการระบายข้าว ซึ่งเป็นช่องทางนำไปสู่การสวมสิทธิ์การจำนำและการทุจริตในโครงการ เกิดผลกระทบสร้างความเสียหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดินทั้งเกษตรกรและเสี่ยงต่อระบบการคลังของประเทศ ไม่เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน แม้ในชั้นนี้พยานหลักฐานยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมในการทุจริตหรือสมยอมให้เกิดการทุจริตหรือไม่ก็ตาม แต่การที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎรว่าจะป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง โดยยึดหลักความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ทั้งไม่พิจารณาระงับยับยั้งโครงการตั้งแต่เริ่มรับทราบความเสียหายอันตรายแรงที่สุดของประเทศจากการดำเนินโครงการ

       จึงมีมติ 7 ต่อ 0 เสียงว่าพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 178 และส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ มาตรา 11 (1) อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 270 จึงใหAแยกสำนวนการถอดถอนส่งไปยังวุฒิสภา เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไปส่วนคดีอาญานั้น ที่ประชุมมีมติให้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปจนกว่าจะสิ้นกระแสความ ทั้งนี้โดยไม่ตัดพยานที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างมาในคำร้องขอนำสืบแก่ข้อกล่าวหาหลังสุด โดยให้นำไปพิจารณาในสำนวนคดีอาญาต่อไป

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!