Details
Category: งานวิจัยเศรษฐกิจ
Published: Tuesday, 06 June 2017 15:28
Hits: 3605
อย่าลืม!...กดไลน์-แชร์กันด้วยนะครับ
ตัวเลขว่างงานกับอนาคตอาชีพคนไท ยในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล
โดย ดร. ยงยุทธ แฉล้มวงษ์
ถึงแม้ว่าในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมาภายใต้การบริหารงานข อง คสข. ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยกลับม าเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอี กครั้งและถ้าจะเปรียบเทียบกั บสมาชิกในกลุ่มประเทศอาเซียนด้ วยกันแล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจอาจจะยังคง ไม่ดีนักถ้าเทียบกับบางประเทศใน อาเซียน เช่นในปี 2559 คาดว่า GDP ของประเทศไทยขยายตัวที่ 3.2% ซึ่งไทยเรามองว่าน่าจะเริ่มฟื้น ตัวพ้นจุดต่ำสุดแต่เมื่อเทียบกั บประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชาขยายตัว 7% ลาว 7.2%เวียดนาม 6.5% ฟิลิปปินส์ 6.0% อินโดนีเซีย 5.1% และ มาเลเซีย 4.4% เป็นต้น การที่ประเทศไทยมีการขยายตัวทาง เศรษฐกิจค่อนข้างต่ำต่อเนื่องมา หลายปี ย่อมจะมีผลต่อเนื่องถึงการจ้างง านในตลาดแรงงานซึ่งไทยมีกำลังแร งงานในเดือนมกราคม 2560 ประมาณ 37.8 ล้านคน มีขนาดตลาดแรงงานเป็นลำดับที่ 4 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ตลาดแรงงานของไทยเริ่มมีกำลังแร งงานลดลง โดยปี 2559 มีกำลังแรงงาน 38.7 ล้านคน ปีปัจจุบันเหลือ 37.8 ล้านคน หายไปจากตลาดประมาณ 1 ล้านคน แต่ประเทศในอาเซียนที่กล่าวถึงข้ างต้น กลับมีจำนวนกำลังแรงงานเพิ่มขึ้ น การที่กำลังแรงงานลดลงแต่ความต้ องการแรงงานในภาคเศรษฐกิจส่วนให ญ่ยังใช้แรงงานแบบเข้มข้น ทำให้ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปั ญหาความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นปี ละประมาณ 3 แสนคน แต่จำนวนดังกล่าวไม่สามารถตอบสน องความต้องการในตลาดแรงงานได้ ครบถ้วนทำให้ยั งขาดแคลนแรงงานอยู่มากกว่า 1.8 แสนคนต่อปี
การขาดแคลนกำลังแรงงานเรื้อรังม านานเป็นผลจากการที่ภาคการผลิตที่ แท้จริง (real sectors) ยังคงปรับเปลี่ยนโครงสร้างช้ามา กเนื่องจากสามารถใช้นโยบายพึ่งพ าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน 3 ประเทศ คือ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา เกือบ 3 ล้านคน กระจายอยู่แทบทุกสาขาการผลิตและ บริการของสถานประกอบการของเอกชน โดยแรงงานคนไทยเข้าไปแทนที่ (replacement) น้อยมากเนื่องจากกำลังแรงงานของ ไทยไม่ชอบงานหนัก งานยากลำบาก และงานสกปรก แต่กลับเลือกตกงานมากกว่าจะไปทำ งานทดแทนแรงงานต่างด้าวหรือเลื อกเดินต่อไปในสายปริญญา โดยเชื่อว่าจะมีความก้าวหน้า ได้รับค่าตอบแทนที่ดี จะมีอนาคตที่ดีกว่า
จากการประเมินของ TDRI พบว่า ตลาดแรงงานในช่วง 10 ปีข้างหน้า แรงงานระดับกลางในสายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีระหว่างปี 2558 ถึงปี 2568 เติบโตค่อนข้างช้ามากจาก 7 แสนคนเป็น 1 ล้านคนหรือเติบโตเพียงปีละ 3 หมื่นคน ขณะที่แนวโน้มแรงงานไทยในระดับ ปวส. และอนุปริญญา เติบโตจาก 1 ล้านคนเป็น 1.1 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งแรงงานในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็ นแรงงานในกลุ่ม STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์และสถิติ)ซึ่งเป็นแรงงานพื้นฐานของเศรษฐกิจตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0 และเศรษฐกิจดิจิทัล
สำหรับ ภาพที่ปรากฏในตลาดแรงงานส ายที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีจะมีความแตกต่างกั บสาย S&Tที่กล่าวมาคือ ความต้องการบุคลากรในสายธุรกิจแ ละบริการและสาขาอื่นๆ ในระดับ ปวช. เพิ่มสูงมากจากประมาณ 0.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านคนในช่วงเวลา 1 ทศวรรษประมาณปีละ 1.2 แสนคน แต่ความต้องการของตลาดแรงงานในร ะดับ ปวส. และอนุปริญญาในสาขาที่ไม่ใช่ S&T กลับมีแนวโน้มลดลงจากประมาณ 0.8 ล้านคนเหลือ 0.6 ล้านคน ผลจากการที่อุปสงค์เพิ่มน้อยกว่ าอุปทานก็คือจะทำให้ ปวส. และอนุปริญญาสายที่ไม่ใช่ S&T ว่างงานจำนวนมากก็เป็นไปได้
คำถามคือ กำลังคนส่วนที่หายไปในตลาดแรงงา นไปไหน คำตอบคือ ไม่ได้หายไปไหนแต่ได้ผันตัวเองไ ปเรียนในระดับปริญญาตรี (ตามนโยบายเพิ่มจำนวนนักศึกษาขอ งมหาวิทยาลัย) โดยไม่ได้เรียนผ่าน ปวส. ซึ่งทำให้แนวโน้มของแรงงานเพิ่ม จาก 3.01 ล้านคน เป็นเกือบ 6 ล้านคนในช่วงเวลา 10 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกันกับผู้เรียน ปวช. สาย S&Tบางส่วนผันตัวเองไปเรียนระดับปริ ญญาตรี ทำให้จำนวนแรงงานเพิ่มขึ้นจาก 1.15 ล้านคนในปี 2558 เป็น 2.4 ล้านคนในปี 2568 หรือเพิ่มขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน
ถ้าดูจากผลการพยากรณ์ดังกล่าวนี้ จะพบว่าขณะที่ภาคเศรษฐกิจมีการเ ติบโตไปในทิศทางที่ต้องใช้กำลั งคนด้าน STEM มากขึ้น นักศึกษาที่จบสาย S&T จึงมีโอกาสที่จะได้รับการจ้างงา นมากกว่าผู้เรียนสาย Non-S&T ความหวังจึงอยู่ที่การขยายตัวขอ งภาคบริการของประเทศทั้งในส่วนข องบริการขายส่ง ขายปลีกและซ่อมบำรุง และงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกร รมการท่องเที่ยวและงานที่เกี่ ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ (ถ้าไม่เลือกงาน) น่าจะเป็นโอกาสให้คนไทยได้เข้าม าสมัครงานมากขึ้น
ความหนักใจของผู้กำหนดนโยบายการ ผลิตกำลังคนของประเทศคือ อุปสงค์ในการผลิตสินค้าและบริกา รซึ่งมีพลวัตสูง มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วส่งผ ลให้อุปสงค์ของตลาดแรงงานผันผวน เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตามไปด้วย ขณะที่การผลิตกำลังคนไม่ง่ายเหมื อนการผลิตสินค้าเนื่องจากต้ องใช้เวลาในการปรับตัวหลายปี ทุกครั้งที่โครงสร้างตลาดแรงงาน ด้านอุปสงค์เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างเป็นรูป ธรรมคือ ผลสำรวจ ภาวะการมีงานทำของประชากรของสำนั กงานสถิติแห่งชาติในเดือนมกราคม 2560 ซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้ง (หลังเก็บเกี่ยว) จำนวนกำลังแรงงานหดตัวเกือบ 2 แสนคนมาอยู่ที่ 37.94 ล้านคน ทำให้อัตราว่างงานเพิ่มค่อนข้าง สูงถึง 1.2% เทียบกับ 0.9% ของเดือนเดียวกันของปีก่อนส่งผล ให้มีจำนวนผู้ว่างงานเกิน 4.4 แสนคน สูงขึ้น 1 แสนคน จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
คำถามคือ เกิดอะไรขึ้น คำตอบมีหลายสาเหตุคือ (1) การว่างงานของเยาวชน (อายุ 15-24 ปี) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันขอ งปีก่อน (Y-o-Y) ถึง 0.9 แสนคน (2) ถ้าพิจารณาตามระดับการศึกษาแล้ว จะพบว่า ผู้จบอุดมศึกษาว่างงานมากที่สุด ถึง 1.6 แสนคนหรือประมาณ 0.6 แสนคนเทียบ Y-o-Y ขณะที่ผู้จบประถมศึกษา มัธยมศึกษา และมัธยมปลายเพิ่มขึ้นประมาณ 0.2-0.4% จากปีก่อน และ (3) ผู้ที่ว่างงานมากถึง 2.59 แสนคน เคยทำงานมาก่อนเทียบกับ 1.9 แสนคน ผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน โดยผู้ที่ว่างงานเกิน 1 แสนคนมาจากภาคการผลิตและภาคบริก าร
กล่าวโดยสรุปคือ ที่ภาคอุตสาหกรรมและบริการไม่สา มารถดูดซับแรงงานทั้งแรงงานเก่ าและใหม่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากภา คการผลิตและส่งออกของทั้ง 2 สาขานำของประเทศเผชิญกับปัญหากา รขยายตัวต่ำต่อเนื่องมาหลายปีอี กทั้งการลงทุนจากต่างประเทศยั งไม่ฟื้นตัว แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไปถึงสาขา การผลิตย่อย จะเห็นว่ามีการจ้างงานทั้งลดลงแ ละเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบ Y-o-Y
จ้างงานลดลง
จ้างงานเพิ่ม
- อุตสาหกรรมการผลิต
- ค้าส่ง ค้าปลีก และซ่อมบำรุง
- การก่อสร้าง
- โรงแรม ที่พัก และร้านอาหาร
- การเกษตร
- กิจกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
- การศึกษา
สิ่งที่ควรจะห่วงตอนนี้คือ ภาค real sector ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต การก่อสร้าง และการเกษตร ควรได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้ ธุรกิจเหล่านั้นสามารถเพิ่มประสิ ทธิภาพและผลิตภาพเพื่อให้ยั งสามารถแข่งขันได้ตามแนวทางไทยแ ลนด์ 4.0 ที่เป็นรูปธรรม
คำถามที่ท้าทายคือ การที่เรามีปัญหาขาดแคลนแรงงานร ะดับกลางสาย S&T และมีแรงงานส่วนเกินในระดับปริญ ญาตรีจำนวนมาก ถ้าประเทศต้องปรับทิศทางใหม่ไปใ นทิศทางของ ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับป ระเทศด้วยการใช้นวัตกรรมนำการพั ฒนา ซึ่งตามแนวทางของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้ให้ทิศทางการพัฒนาเอาไว้หลาย เรื่องเกี่ยวกับตัวขับเคลื่อนเศ รษฐกิจใหม่ เช่น เน้นไปที่สิ่งที่ไทยมีทรัพยากรเ ป็นของตนเองคือ เกี่ยวกับอาหาร การเกษตรสมัยใหม่ (อาทิ เกษตรแม่นยำ) และไบโอเทคโนโลยี ถ้าด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตคว รมุ่งสู่นวัตกรรมเกี่ยวกับสุขภา พWellness และเวชภัณฑ์ต่างๆ หรือถ้าออกไปทางอุตสาหกรรม 4.0 คงหนีไม่พ้นนวัตกรรมอัจฉริยะ โรบอท และด้านmechatronics หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น smart enterprises หรือ startups อย่างไรก็ตาม ถ้าต้องการสนับสนุน high value tourism ต้องปรับการบริการให้เป็นบริการ คุณภาพสูงที่สอดแทรกความคิดสร้ างสรรค์และนวัตกรรมเป็นองค์ประก อบ และเหนืออื่นใดนวัตกรรมต่างๆ ที่กล่าวมาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกั บยุคดิจิทัล internet of things (IoT) และพวกเทคโนโลยีฝังตัวทั้งหลายซึ่ งความรู้ชั้นสูงเช่นนี้กำลั งคนที่มีอยู่ (stock) มีจำนวนไม่มากที่มีความพร้อม
ถ้าเป็นเช่นนี้ เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการพัฒ นาคนของประเทศไปในทิศทางที่สนับ สนุนแนวทางการพัฒนาดังกล่าวให้เ ร็วที่สุดคือ ต้องเตรียมคนให้เป็นกำลังแรงงาน ที่ฉลาดและความสามารถพิเศษ( Talent) และแข่งขันได้ ต้องพัฒนากำลังแรงงานที่มีผลิตภ าพสูง โดยภาพรวมแล้ว ประเทศไทยต้องวางแผนผลิตกำลังคน ในระดับชาติไว้อย่างชัดเจน โดยมีจุดเน้นว่าจะทำอย่างไรกับกำ ลังแรงงานในปัจจุบันที่มีอยู่แล้ ว ซึ่งมีความสามารถพิเศษเก่งบ้างไ ม่เก่งบ้าง เราจะบริหารจัดการกระแส (flow) คนเก่งบ้างไม่เก่งบ้าง ผลิตไม่ตรงสาขาที่ต้องการบ้าง ที่ออกสู่ตลาดแรงงานหลายแสนคนทุ กปีด้วยระบบการผลิตกำลังคนแบบเดิ มๆความฝันที่จะใช้กำลังแรงงานแบ บเดิมๆไทยแลนด์ 4.0 คงไม่ไปถึงไหน เราควรจะต้องสร้างตลาดแรงงานคนที่ ฉลาดและมีความสามารถพิเศษขึ้ นมาต่างหากดีหรือไม่
คำตอบเห็นทีจะไม่ใช่เรื่องที่ทำ ได้ง่านในเวลาอันสั้น สำหรับกำลังแรงงานกลุ่มแรกที่มี อยู่ (stock) เป็นแรงงานจบ ม. ต้นหรือต่ำกว่าประมาณร้อยละ 68 ของกำลังแรงงานทั้งหมด จะมีส่วนที่มีงานทำเป็นส่วนใหญ่ จะว่างงานรวมกันในตอนนี้ประมาณ 2 แสนคน คงจะปรับให้เป็นคนฉลาดและมีสมรร ถนะสูงเพื่อนำมาใช้ใน Thailand 4.0 ได้ยากคงต้องสนับสนุนให้พวกเขาทำ ในสิ่งที่ถนัดให้มีประสิทธิ ภาพมากขึ้นเท่านั้น คนว่างงานระดับสายวิชาชีพ และมัธยมปลายประมาณ 1 แสนคน อาจจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เราคั ดเลือกกลุ่มที่เรียนมาทางสายวิท ยาศาสตร์หรือ S&T ก็น่าจะสามารถนำมาฝึกอบรมยกระดั บได้ระดับหนึ่ง รวมทั้งผู้ตกงานระดับอุดมศึกษาอี ก 1.6 แสนคน ทั้ง 2 กลุ่มนี้สามารถทำการคัดเลือกมาฝึ กโปรแกรมเพิ่มขีดความสามารถได้ (capacity buildings) โดยสถาบันฝึกอบรมชั้นสูง เพื่อนำเข้าสู่ตลาดแรงงานความสา มารถสูงเพื่อตอบสนอง ไทยแลนด์ 4.0 ต่อไปได้
ส่วนแรงงานที่กำลังเรียนอยู่ในปั จจุบันที่จะจบการศึกษา (flow) ควรจะมีวิธีเข้าไปปรับ talents ให้ตรงกับความต้องการของ talent market ด้วยการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นประม าณ 1 ปีหรือจนกว่าจะทดสอบผ่านเกณฑ์มา ตรฐานสมรรถนะที่กำหนด โดยวิธีการรับสมัครจากวิทยาลัยแ ละมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อมและ ยินดีให้ความร่วมมือกับทางรั ฐบาล ในลักษณะที่เป็นข้อตกลงร่วมกัน (MOU) โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณต่อหัวอย่ างเต็มที่ มีการฝึกฝนการปฏิบัติงานจริงร่ว มกับทางสถานประกอบการที่มีความพ ร้อม ซึ่งคาดว่าจะผลิต talent workforces ได้ปีละหลายหมื่นคน เพื่อนำไปใช้ในไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งแน่นอนคงเน้นไปที่เด็กนักเรี ยนหรือนักศึกษาระดับมัธยมปลายจน ถึงปริญญาตรีในสาขาที่เกี่ยวข้ องกับไทยแลนด์ 4.0
หัวใจที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นแร งจูงใจผู้ปกครองและเด็กนักศึกษา ก็คือ ต้องการันตีการมีงานทำ ต้องการันตีค่าตอบแทนที่สูงกว่า ตลาดแรงงานตามปกติอย่างน้อย 1 เท่า บวกกับสวัสดิการอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการสร้างอนาคตให้ กับเยาวชนกลุ่มพิเศษนี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติสูงที่ทั้งเก่ งฉลาดและเป็นคนดีเช่นนี้จะแยกตั วออกมาบรรจุไว้ในฐานข้อมูลของ talent market เป็นการเฉพาะโดยมีเป้าหมายที่สอ ดคล้องกับยุทธศาสตร์การขับเคลื่ อนไทยแลนด์ 4.0 ในแต่ละช่วงเวลา
สำหรับระยะยาว (5-10 ปี) การเตรียมคนเพื่อให้ได้เพียงพอต ามเป้าหมายนี้ กระทรวงศึกษาธิการกระทรวงแรงงาน ร่วมกับหน่วยงานที่สำคัญด้านวิ ทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น สวทช. สวทน. จะต้องสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรั บเด็กดี เด็กเก่งมีความสามารถ ด้วยการสอบคัดเลือก และจัดการเรียนการสอนด้วยหลักสู ตรที่ดี ครูที่เก่งทั้งจากไทยและต่างประ เทศ เสริมด้วยการส่งไปเรียนและฝึกงา นยังต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าประเทศไทยจะมี talent workforcesเพียงพอที่จะสนับสนุนให้ ไทยแลนด์ 4.0 เดินหน้าต่อไปได้จนประสบความสำเ ร็จ อย่างไรก็ตาม stock ของแรงงานที่มีจำนวนมากยังคงต้อ งตอบสนองตลาดแรงงานระดับล่างและ ระดับกลางต่อไป เนื่องจากยังมีเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ 2.0 หรือ 3.0 โดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับ Thailand 4.0 ได้แต่จำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภ าพเพื่อความอยู่รอด
การยกระดับขีดความสามารถกำลังแร งงานส่วนใหญ่ให้เป็น productive workforce ยังจำเป็นอยู่มาก บางคนโชคดีมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อาจจะปรับตัวให้เข้าสู่เส้ นทางของ competitive workforce และในที่สุดเข้าสู่ innovative workforce ได้ก็สามารถช่วยกันทำให้เศรษฐกิ จของประเทศไทยก้าวข้ามประเทศที่ มีรายได้ปานกลางไปได้ภายใน 10 ปีข้างหน้าก็อาจจะเป็นได้ ขอให้ทุกฝ่ายอย่าทอดทิ้งกำลังแร งงานที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งแรงงานด้อยโอกาส แรงงานสูงอายุและแรงงานพิการ เปิดโอกาสให้เขาได้มีส่วนร่วมใน การนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายอั นยิ่งใหญ่ด้วยกันโดยไม่ทิ้ งใครไว้ข้างหลัง.