WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

7128 IAA Sombat

นักวิเคราะห์คาด GDP 3.18% และเปิดเมือง ร่วมหนุนดัชนีหุ้นฟื้น สิ้นปี 1646

          นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ ต่อมุมมองด้านการลงทุนครึ่งปีหลังของปี 2565 โดยครั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจ 24 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์ 20 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 3 บริษัท และบริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส 1 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

          สมมติฐานหลัก มีการปรับเพิ่มราคาน้ำมันดิบของปีนี้ จาก 94.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาเป็น102.36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ GDP ปี 65 ยังคงฟื้นตัว โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.18% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการสำรวจครั้งก่อน (เม..65) ซึ่งเคยใช้สมมติฐานที่ 3.09%

          สำหรับปัจจัย ที่จะมีผลต่อทิศทางการลงทุนตลอดครึ่งปีหลังนี้ ปัจจัยบวก ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 75% รองมาคือ สถานการณ์โควิดไทยที่เบาลงจนมีการเปิดเมือง มีผู้ตอบแบบสำรวจ 62% และอันดับที่ 3 คือสถานการณ์โควิดโลก มีผู้ตอบ 58% ตามลำดับ

          ส่วนปัจจัยลบ มีความชัดเจนมากถึง 5 ปัจจัย เห็นได้จากการโหวตอย่างท่วมท้น ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มมีความกังวลเศรษฐกิจถดถอย และ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงของ FED โดยมีผู้ตอบทั้ง ปัจจัยนี้ ที่ระดับ 92% เท่ากัน ส่วนอันดับ 3 คือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้ตอบมากถึง 83% ส่วนอันดับ 4 คือ ปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 79% และอันดับที่ 5 คือ แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในประเทศไทยที่มีผู้โหวตว่าเป็นปัจจัยลบมาถึง 75% 

          สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.นั้น เสียงโหวต 96% คาดว่าจะมีการปรับขึ้นในครึ่งหลังของปี 2565 อย่างแน่นอน แต่ระดับการคาดแตกต่างกันไป เรียงลำดับขนาดการปรับขึ้นดังนี้

          • มี 25% ที่คาดว่าจะขึ้น 0.25% ในครึ่งปีหลัง

          • มี 37% ที่คาดว่าจะขึ้น 0.50% ในครึ่งปีหลัง

          • มี 17% ที่คาดว่าจะปรับขึ้น 0.75% ในครึ่งปีหลัง

          • มี 17% ที่คาดว่าจะ ปรับขึ้น 1.00% หรือมากกว่า ในครึ่งปีหลัง

          อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์ 4% ที่มองสวนว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง 0.25% ในครึ่งปีหลัง

          ส่วนคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ของตลาด ถือเป็นข่าวดี ที่มีค่าเฉลี่ยที่ 94.47 บาทเพิ่มขึ้นกว่าผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.11 บาทต่อหุ้น และครั้งนี้ คาดการณ์ EPS Growth ของปี 2565 อยู่ที่ 8.20% 

 

EXIM One 720x90 C J

 

          ทางด้านคาดการณ์ ทิศทางหุ้นไทย ในระยะสั้นช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มทางลบ รองลงมาคาดว่าเป็น Sideways แต่ก็มีผู้ตอบประมาณ 4% ที่มองว่าเป็นทิศทางบวก โดยมีค่าเฉลี่ย คาดการณ์ดัชนีราคาหุ้นไทย สิ้นไตรมาสที่ 3 อยู่ที่ 1,569 จุด

          สำหรับคาดการณ์จุดสูงสุดของ SET Index ช่วงก.. - .. 65 เฉลี่ยที่ระดับ 1,662 จุด ส่วนจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,486 จุด และเป้าหมายดัชนี วันสิ้นปี 2565 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,646 จุด ซึ่งลดลง 101 จุดจากระดับคาดการณ์ไว้ครั้งก่อน ที่ 1,747 จุด

          นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น

          • เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 18.63%

          • กองทุนตราสารหนี้ 14.06%

          • หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 27.39%

          • หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 22.92%

          • กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 7.31%

          • ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.63%

          • อื่นๆ เช่น น้ำมัน 1.06%

 

TU720x100

 

          สำหรับ ในส่วนของการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ ค้าปลีกธนาคาร การท่องเที่ยว สื่อสาร และการแพทย์

          ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

          รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำ ตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป มีดังนี้ (เรียงชื่อตามอักษรย่อ

          1. BBL ได้ประโยชน์จากวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น จากการมีสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว ขณะที่เงินฝากมี 40% ที่ดอกเบี้ยลอยตัว งบดุลแข็งแกร่ง มูลค่าหุ้นถูก มี PER 7 เท่า และ PBV 0.5 เท่า รวมทั้งมี Dividend Yield ที่สูง 4% ต่อปี

          2. BEM แนวโน้มรถใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการเปิดเทอม เปิดเมืองและยังได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใน ..นี้

          3. CPN มีปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดเมือง และการให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยลง

          4. KBANK คาดว่าธนาคารจะมีอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้นและคุณภาพสินเชื่อที่ปรับดีขึ้น และมีมุมมองเชิงบวกเรื่องการร่วมทุนกับ JMT อีกด้วย

          ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาล เกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ โดยส่วนใหญ่กล่าวถึง การช่วยเหลือประชาชน ทั้งปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การลดค่าครองชีพและการเพิ่มกำลังซื้อแก่ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค

          ตามมาด้วย การช่วยเหลือภาคธุรกิจ ได้แก่ การกระตุ้นการลงทุน การช่วยสภาพคล่องรักษาการจ้างงาน SME รวมถึงสนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานสูงขึ้น และข้อแนะนำสุดท้าย เสนอให้เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน

 

A7128

 Click Donate Support Web

วิริยะ 720x100

 

aia 720 x100PTG 720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

ais 720x100

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!