WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

Gสมคด จาตศรพทกษ copy'สมคิด' สั่งหาแผนกระตุ้น SME สตาร์ทอัพ หวังดันจีดีพีกลุ่มเอสเอ็มอีโต 50% ภายในปี 64

    'สมคิด'ยันเศรษฐกิจไทยตอนนี้แข็งแกร่งแล้ว แต่รับโครงสร้างยังไม่สมดุล สั่งหน่วยงานรัฐปฎิรูปหาแผนกระตุ้นการเติบโตเอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพมากขึ้น พร้อมตั้งเป้าทำจีดีพีกลุ่มเอสเอ็มอีปี 64 ได้ 50% ของจีดีพี พร้อมท้าชนสิงคโปร์เตรียมดันเป็นฮับสตาร์ทอัพของอาเซียน

     นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงาน “SME Transform พร้อมเปลี่ยน ประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล” ว่า ปัจจุบันไทยมีเอสเอ็มอีจำนวนกว่า 3 ล้านราย คิดเป็น 99.7% ของจำนวนวิสาหกิจทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านคน นับเป็นห่วงโซ่การผลิตและเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่แท้จริง ซึ่งยืนยันรัฐบาลพร้อมผลักดันเอสเอ็มอีให้เติบโตมากขึ้นกว่านี้ให้ได้ เพื่อจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น จากผู้ประกอบการขนาดเล็ก

    สำหรับ การเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันถือว่าแข็งแกร่ง และขยายตัวได้ดี แต่ต้องยอมรับปัญหาเศรษฐกิจของไทยทุกวันนี้ คือโครงสร้างที่ไม่สมดุล จึงต้องมีการปฏิรูปให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขกฎหมาย แต่เป็นการแก้ไขการทำงานของภาครัฐ ให้รองรับการทำงานของภาคเอกชนได้มากขึ้น ด้วยการจัดทำนโยบาย 4.0 ที่ใช้เทคโนโลยี และดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้กระทรวงต่างๆ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม , กระทรวงพาณิชย์ , สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ,และสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ร่วมกับสมาคมเอกชนต่างๆ เพื่อปรับตัว และปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าหลัง ให้เอื้อต่อการเติบโตของเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไทยแข็งแกร่งมากขึ้น

      ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้ายกระดับเอสเอ็มอีไทย สู่ Smart Enterprise เปลี่ยนจาก ทำมากได้น้อย เป็น ทำน้อยได้มาก โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายดันจีพีเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 36% เป็นไม่น้อยกว่า 50% ภายในปี 2564 โดยจะเน้นให้เข้าถึงเงินทุนจากสถาบันการเงินมากขึ้น ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องปรับปรุงระบบ Big Data กับหน่วยงานรัฐและเอกชนทั้งหมด เพื่อให้สามารถวิเคราะห์การให้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีจะมีอุปสรรคในการเติบโตลดลงได้

      นอกจากนี้ ต้องการให้ไทยแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ โดยการยกระดับไทยเป็นสตาร์ทอัพเอสเอ็มอีของอาเซียน เพราะขณะนี้ค่อนข้างมั่นใจในศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยมองว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะเป็นโอกาสของธุรกิจไทย แต่การขับเคลื่อนและพัฒนาจะต้องใช้ความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนอะไรที่กีดขวางหรือเป็นอุปสรรคขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไข เช่น กฏหมายที่เกี่ยวข้อง การจดทะเบียน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยขอให้มีความคืบหน้าในช่วงเวลาก่อนเลือกตั้ง

     “เราจะสร้างเศรษฐกิจบนฐานผู้ประกอบการ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ทุกฝ่ายจะต้องร่วมกัน วันนี้ทุกคนรู้ว่า เรากำลังเดินไปทางไหน แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 13 จะแตกต่างออกไป ผมต้องการให้ไทยแข่นขันกับสิงค์โปร์ อะไรที่กีดขวางเราต้องแก้ เรามั่นใจศักยภาพของเรา เราสามารถทำให้เสร็จได้ ไม่มีอะไรที่เราด้อยกว่าชาติอื่น แต่ที่ผ่านมา กฎหมายเก่าแก่ ดังนั้นเราจะต้องร่วมกันแก้ไข ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สมาคมธนาคารไทย กรมสรรพากร อะไรที่ติดขัด เราจะจัดการ เราจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ร่วมมือกันผลักดันกลุ่มเอสเอ็มอี”นายสมคิด กล่าว

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!