WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

“เลือกซื้อ/ถือต่อถ้า SET เหนือ 1575”
      • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มีภาพตลาดวันก่อน : อ่อนลงเล็กน้อย SET Index ผันผวน โดยมีหลุดฟิวเตอร์ 1570 ในวัน (ลงไปต่ำสุด 1566.44 แล้วดีดกลับขึ้นมายืนเหนือ 1570 ได้อีกครั้ง) ปิดตลาดที่ 1582.13 ลดลงเล็กน้อย 1.05 จุด โดยมีการขายทำกำไรหุ้นออกมาหลังจากดัชนีปรับขึ้นไปใกล้ 1600 จุด แต่ก็มีแรงซื้อกลับก็แข็งแรงพอสมควร นักลงทุนสถาบันในประเทศ ต่างชาติ พอร์ตบล.ขายสุทธิ ส่วนรายย่อยซื้อสุทธิ

       ปัจจัยและกลยุทธ์ : ปัจจัยต่างประเทศที่จับตา คือ ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้อยู่ในแนวโน้มแข็งค่าเพราะกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด (FOMC ประชุม 16-17 ก.ย.นี้) ซึ่งการแข็งค่าของเงิน US$ ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงและเป็นบวกกับกลุ่มส่งออก ซึ่งหุ้นเด่นคือ KCE, SVI, GFPT, TUF และการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจยูโรโซนด้วยการซื้อสินทรัพย์ของ ECB ส่วนในประเทศเป็นการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 12 ก.ย.นี้ ซึ่งมีหลายประเด็นที่ติดตามกัน เช่น การปรับขึ้นราคา LPG, NGV, การโอนท่อก๊าซของ PTT, การปรับเปลี่ยนเรื่องภาษี(ภาษีมรดก, ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา & นิติบุคคล เป็นต้น), การใช้กองทุน LTF & RMF มาหักภาษี เป็นต้น โดยขณะนี้มีกระแสข่าวว่าอาจจะยกเลิกกองทุน LTF ซึ่งหากมีการยกเลิกจริงก็อาจกระทบตลาดหุ้นในช่วงปลายปี เพราะปกติจะมีแรงซื้อจาก LTF เข้ามาช่วยหนุนตลาด นอกเหนือจากความหวังว่าเศรษฐกิจในปีต่อไปจะดีขึ้นกว่าปีปัจจุบัน สำหรับหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะมีความคึกคักมากขึ้นในช่วงนี้ คือ กลุ่มสื่อสาร เพราะได้รับอานิสงค์จากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ของค่ายต่างๆ โดยเฉพาะแอปเปิ้ลและซัมซุง หุ้นที่เราชอบ คือ ADVANC, INTUCH และ SIM สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น ADVANC

       กลยุทธ์ทางเทคนิค : ซื้อใหม่เน้นซื้อตามค่าบวก ค่าลบหรือการอ่อนตัวที่ต่ำกว่า 1575 จุด ควรชะลอการเก็งกำไร/ลดพอร์ตตามในกรณีที่มีหุ้นมากเหลือเงินสดอยู่น้อย เพราะดัชนีมีโอกาสอ่อนไปยัง 1550, 1520 จุดหรือต่ำกว่า ส่วนการปรับขึ้นต่อมีแนวต้านระยะสั้น 1590-1600 จุด สำหรับหุ้นที่คาดว่าราคามีโอกาสทำ New High เมื่อพิจารณาจากสัญญาณทางเทคนิค คือ THREL, SITHAI, GLOW, TMB, IVL, TWZ, AIT, AQ, GFPT TWP,WIIK, IFEC, CHG, TTA (สีน้ำเงิน คือ หุ้นที่เข้ามาใหม่ใน List) ส่วนหุ้นที่แนะนำและปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าหาจังหวะ Take Profit (สำหรับการลงทุนรอบสั้น) คือ KAMART, BMCL

Fundamental Pick
ADVANC แนะนำซื้อราคาปิด 209 บาท เป้าหมาย 232 บาท
       * บริษัทยืนยันว่าจะรุกเข้าสู่ธุรกิจ Fixed Broadband (FBB) เพื่อเพิ่มรายได้และสามารถผูกติดควบคู่กับการให้บริการหลักเดิม คือโทรศัพท์เคลื่อนที่ ปัจจุบันอัตราการใช้บริการ FBB(Penetration rate) ยังต่ำเพียง 24% ด้วยจำนวน 4.8 ล้านครัวเรือน ทางบริษัทเชื่อว่าจะสามารถเพิ่มได้เป็น 34% ในช่วง 4 ปีข้างหน้า อีกทั้งการขยายไปยังธุรกิจนี้จะเป็นลบกับ TRUE ซึ่งเสนอการให้บริการนี้อยู่ก่อนแล้ว
      * เราประเมินว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท โดยคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) จะเกิน 10% เทียบกับ WACC ที่ 8.4% ทั้งนี้บริษัทคาดว่าจะมีการใช้เงินลงทุนในเฟสแรกที่ 4.6 พันล้านบาท ด้วยจำนวนผู้ใช้บริการ 1 ล้านราย คาดว่ารายได้จะตกอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท และให้ผลกำไร 500 ล้านบาท ด้วยสมมุติฐานอัตรากำไรสุทธิ (Net margin) ที่ 20% ซึ่งใกล้เคียงกับ JAS แต่เราคาดว่าอาจจะทำได้ดีกว่า JAS ในอนาคต เพราะ ADVANC มีโครงข่ายและ Synergy ที่ดีกว่า
      * แนะนำซื้อ ADVANC เราคาดว่าการที่บริษัทรุกธุรกิจนี้จะทำให้ความสามารถในเชิงการแข่งขันได้เปรียบ DTAC เรายังชอบ ADVANC มากกว่า DTAC ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดต่างจังหวัดสดใส ซึ่งเป็นตลาดหลักของ ADVANC, มีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และปันผลดีซึ่งคาดว่าอัตราผลตอบแทนปันผลปี 58 สูงเป็น 6.7% ส่วนความเสี่ยงในเรื่องการลงทุนโครงการนี้แล้วจะกระทบกับปันผลหรือไม่ เราศึกษาแล้วพบว่าเงินลงทุนที่ใช้จะเป็นเพียง 1พันล้านบาทในงวดปี 58 (จากทั้งหมด 4.6 พันล้านบาท) เพื่อให้บริการลูกค้า 80K เมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้ในธุรกิจหลักแล้วถือว่าน้อยมากๆจึงไม่มีผลกระทบกับความสามารถการจ่ายปันผล

ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
• สหรัฐ : สต็อกสินค้าภาคค้าส่งเดือนก.ค.ปรับขึ้นเล็กน้อย
* กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าภาคค้าส่งขยับขึ้น 0.1% ในเดือนก.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.56

+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ปรับขึ้นด้วยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
* ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,068.71 จุด เพิ่มขึ้น 54.84 จุด หรือ +0.32% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,586.52 จุด เพิ่มขึ้น 34.23 จุด หรือ +0.75% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,995.69 จุดเพิ่มขึ้น 7.25 จุด หรือ +0.36% โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ยังคงได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้การปรับขึ้นไม่มาก

- สัญญาน้ำมันดิบ : ร่วงลงกว่า 1%
* สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 1.08 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 91.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 1.12ดอลลาร์ หรือ 1.1% ปิดที่ 98.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
* EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 5 ก.ย. ลดลง 972,000 บาร์เรลแตะ 358.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะร่วงลง 1.2 ล้านบาร์เรล แต่สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันดิบทั่วโลกในปี 57 ลงเหลือ 1.05 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจในกลุ่มองค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ชะลอตัวลง

- สัญญาทองคำ COMEX : ร่วงลงต่อ
* สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 3.2 ดอลลาร์หรือ 0.26% ปิดที่ 1,245.3 ดอลลาร์/ออนซ์ ปัจจัยกดดัน คือ เงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นหลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยนักลงทุนจับตาดูการประชุมกำหนดนโยบายการเงินครั้งต่อไปของเฟดซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 16-17 ก.ย.นี้

ปัจจัยในประเทศ
+ การยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 8M57 มีมูลค่า 4.2 แสนล้านบาท ลดลง 38%YoY แต่มี 52% เป็นโครงการที่ยังไม่เคยลงทุนในไทย
* นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในช่วง 8 เดือนของปี 57 มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 886โครงการ ลดลง 27.7%YoY เงินลงทุนรวม 416,500 ล้านบาท ลดลง 38.2%YoY แต่มีโครงการใหม่ที่ยังไม่เคยลงทุนในไทยจำนวน 458 โครงการ หรือ 52% ของจำนวนคำขอทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนรายใหม่เริ่มมีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
* BOI ยังคงตั้งเป้าหมายยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 7 แสนล้านบาท โดยคาดว่าช่วง 2เดือนสุดท้ายของปีจะมีการขอรับการส่งเสริมคึกคักขึ้นเช่นเดียวกันทุกปีที่เป็นปีปกติ

+ ตลาดสมาร์ทโฟนคึกคักหนุนหุ้นกลุ่มสื่อสาร แนะนำซื้อ SIM, ADVANC, INTUCH
* ตลาดสมาร์ทโฟนคึกคักขึ้นใน 4Q57 หลังแอปเปิ้ลออกไอโฟน 6 ขนาด 4.7 นิ้วและ 5.5 นิ้ว และนาฬิกาอัจฉริยะหรือแอปเปิ้ล วอช ซึ่งปัจจัยนี้เป็นตัวกระตุ้นหุ้นในกลุ่มสื่อสารในช่วงนี้ ซึ่งหลักทรัพย์ที่เราชอบ คือ
1. SIM (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 4.6 บาท) เนื่องจากคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากยอดขายสมาร์ทโฟนที่สูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีการขายสมาร์ทโฟนล็อตใหญ่ราว 5 แสนเครื่องให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ในการทำเคมเปญส่งเสริมการขายใน 2H57 ด้วย
2. ADVANC (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 232 บาท) และ INTUCH (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน90 บาท) เราคาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนในต่างจังหวัดจะมีการขยายตัวมากขึ้น หลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้สมาร์ทโฟนมากขึ้น ซึ่ง ADVANC มีส่วนแบ่งตลาดในต่างจังหวัดสูงจึงจะได้รับประโยชน์ในส่วนนี้มาก นอกจากนั้นบริษัทยังจะลงทุนในส่วน FixedBroadband เพิ่ม เพราะมองว่าเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และบริษัทมีโครงข่ายที่แข็งแกร่งที่จะช่วยหนุนธุรกิจนี้ ในเบื้องต้นประเมินว่าการลงทุนในเฟสแรกจะอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ทำรายได้2.5 พันล้านบาทต่อปี และกำไร 500 ล้านบาทต่อปี (ใช้สมมติฐานมาร์จิ้น 20% เท่ากับ JAS)นอกจากนั้นบริษัทยังจ่ายปันผลสูง คาดการณ์ Yield ประมาณ 6-7% ต่อปี ส่วน INTUCH ซึ่งมีNAV มาจาก ADVANC เป็นส่วนใหญ่ก็ได้รับผลดีไปด้วย ซึ่งบริษัทก็สามารถจ่ายปันผลสูงเช่นเดียวกันกับบริษัทลูก คือให้ Yield ประมาณ 6-7% ต่อปี

- ก.ล.ต.เร่งให้สอบการปั่นหุ้น
* ก.ล.ต.กำลังเร่งให้มีการตรวจสอบการปั่นหุ้นของหลายกลุ่ม โดยหุ้นที่มีชื่อว่าอาจจะอยู่ในข่ายของการถูกปั่นหรือทำราคา โดยบางส่วนอยู่ในระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ ได้แก่SLC, SST, AQUA, SSE-W1, TIES, STAR, STAR-W, IRCP-W1, SIMAT, MAX, MME, MMEW1,L&E, UKEM, METRO, TUCC, SECC, RICH เป็นต้น (ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 ก.ย.57)

• การเมือง : จับตาการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี และการดำเนินงานของรัฐบาล ซึ่งหลายฝ่ายกำลังติดตามเรื่องความโปร่งใส & เหมาะสมในการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล
* นักลงทุนกำลังจับตาการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 ก.ย.นี้ ซึ่งประเด็นสำคัญ คือการปรับราคาพลังงาน (ก๊าซ LPG, NGV เป็นต้น), การโอนท่อก๊าซของ PTT, การปรับเรื่องภาษี(ภาษีมรดก, ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา & นิติบุคคล เป็นต้น), การใช้กองทุน LTF & RMF มาหักภาษี ฯลฯ
* นอกจากนั้นยังติดตามเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาล หลังจากมีการตั้งประเด็นว่าการจัดซื้อไมโครโฟนห้องประชุมคณะรัฐมนตรีมีราคาสูงและเกินความเหมาะสม รวมทั้งมีประเด็นเรื่องการควบตำแหน่งของรัฐมนตรีในบางกระทรวงด้วย เราเห็นว่าเรื่องเหล่านี้มีความอ่อนไหวและเป็นภาพลักษณ์รัฐบาลซึ่งต้องเคลียร์ให้ชัดเจนและโปร่งใส เพราะจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 arparporns@th.dbsvickers.com

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!