WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

“มาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของประเทศต่างๆ หนุนตลาด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
      ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET Index ปิดทรงตัวอีกวันที่ 1594.58 แม้ว่าดัชนีจะทดสอบระดับ 1600 จุดได้อีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถผ่านและขึ้นไปยืนเหนือได้ เนื่องจากรอดูปัจจัยใหม่ คือ ผลประชุม ECB และตัวเลขจ้างงานของสหรัฐ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเพิ่มเป็น 1.1 พันล้านบาทแต่สถาบันในประเทศซื้อสุทธิเพียงเล็กน้อย ด้านพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ สำหรับ Sentiment ตลาดหุ้นโดยรวมวันนี้ ค่อนไปทางบวกเล็ก เพราะมีการเก็งกำไรบนความคาดหวังก่อนการประชุม ECB ในวันนี้ว่า ECB อาจออกมาตรการเพิ่มเติมด้วยการประกาศเข้าซื้อตราสารหนี้รัฐบาล หลังตัวเลขPMI ภาคการผลิตและบริการของยูโรโซนยังอ่อนแอ จากปัจจุบันที่ปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินเพื่อซื้อเฉพาะตราสารหนี้เอกชน รวมไปถึงคาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ของสหรัฐที่จะออกมาวันศุกร์นี้จะยังคงสูงกว่า 2 แสนตำแหน่งได้ เนื่องจากตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADPออกมาแข็งแกร่งที่ 2.08 แสนตำแหน่ง ส่วนในประเทศ ยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีนัยสำคัญและใกล้วันหยุดยาวในช่วงวันพ่อแห่งชาติ แต่ก็มี Catalyst จากแรงซื้อของกองทุน LTF กลยุทธ์ : Selective Buy โดยหุ้น Top Picks พื้นฐานเดือนธ.ค.57 เป็น KCE, KTB, MINT, PS, WHA ส่วน Dark Horse ได้แก่ CHG,SPALI สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น SAMART

        การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดในระยะสั้นมากเป็นบวกเล็กๆ โดยเมื่อวานนี้ SET Index ยังสามารถปิดเหนือ SMA 10 วันได้ แต่สัญญาณบวกยังไม่ชัดเจนมาก ดังนั้นการซื้อใหม่จึงเน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น การยืนเหนือ 1590 ได้จึงจะมีลุ้นแนวต้าน 1600-1610 จุดหรือสูงกว่าการอ่อนตัวต่ำกว่า 1590 จุดจะดูไม่ค่อยดี เพราะมีสิทธิลงไปที่แนวรับ 1570, 1560-1550 จุดอีกรอบ สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ NewHigh พบว่าหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RATCH, BECL, LPN ส่วนหุ้นที่เข้ามาใหม่ ได้แก่ AMATA, RS, UV, AKR, BMCL ส่วนหุ้นที่หลุด List –ไม่มี-สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาขึ้นมาในพื้นที่ขายทำกำไร คือ TICON, BWG, AEONTS, M, BEAUTY

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
       + สหรัฐ : ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน & PMI ภาคบริการแข็งแกร่งตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐของ ADP เพิ่มขึ้น 2.08 แสนตำแหน่งในเดือนพ.ย. และดัชนี PMI ภาคบริการขยายตัวเป็น 59.3 ในเดือนพ.ย.จาก 57.1 ในเดือนต.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 57.6 ปัจจัยที่ติดตาม คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย.ที่จะออกมาวันศุกร์นี้โดยนักวิเคราะห์คาดจะเพิ่มกว่า 2 แสนตำแหน่ง

         - ยูโรโซน : การผลิต & บริการซบเซา ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)รวมภาคการผลิตและบริการของยูโรโซนในเดือนพ.ย.ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนที่ 51.1 จากระดับ 52.1 ในเดือนต.ค. โดยดัชนี PMIภาคการผลิตลดลงเป็น 50.1 จาก 50.6 ในเดือนต.ค. ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการลดลงเป็น 51.1 จาก 52.3 ในเดือนก่อนหน้า

• ยูโรโซน : รอดูผลประชุม ECB มีกระแสคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค.นี้ โดยการประกาศเข้าซื้อตราสารหนี้รัฐบาล จากปัจจุบันที่ ECB ปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินเพื่อซื้อเฉพาะตราสารหนี้ภาคเอกชนเท่านั้น

+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นต่อ โดย DJIA +33.07 จุด ดัชนี S&P500

+7.78 จุด ดัชนี NASDAQ +18.66 จุด โดยปัจจัยหนุน คือ รายงานBeige Book ของเฟดที่ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวในช่วงเดือนต.ค.-พ.ย.57 ผนวกกับตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน & ดัชนี PMIภาคบริการเดือนพ.ย.สหรัฐออกมาดี

• สัญญาน้ำมันดิบแกว่งในกรอบแคบ โดย WTI ส่งมอบเดือนม.ค.+50เซนต์ ปิดที่ 67.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT -62 เซนต์ ปิดที่ 69.92ดอลลาร์/บาร์เรล

• สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.ปิด +9.3 ดอลลาร์ ที่1,208.7 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นการซื้อเก็งกำไรหลังดิ่งแรง แต่แนวโน้มราคาทองคำยังไม่แข็งแกร่งมากเพราะตลาดยังคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่างๆจะทำให้เศรษฐกิจโลกเติบโตดีขึ้นในปี 58

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
+ 17 ธ.ค.57 ประชุมกนง.รอบสุดท้ายของปีนี้ จะลดดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่? การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้า เนื่องจากการส่งออกยังไม่ดีการบริโภคและลงทุนภาคเอกชนยังค่อนข้างซบเซา แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วง highseason1 แล้วก็ตาม การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐก็ทำได้ช้ากว่าคาดขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงเพราะราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงและมีแนวโน้มทรงตัวระดับต่ำต่อในปี 58 ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางกลุ่มแนะให้กนง.ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงถึง 85% ของ GDP และการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐที่กำลังเร่งตัวขึ้น เราจึงเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะคงไว้ที่ 2.00% ก่อนและค่อยไปพิจารณาอีกครั้งในช่วง 1Q58 ว่าจำเป็นจะต้องใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมหรือไม่

• PTT : รอผลวินิจฉัยเรื่องโอนท่อก๊าซจากคณะกรรมการกฤษฎีกาสตง.ยืนยันว่าทรัพย์สินที่ PTT แบ่งแยกและส่งมอบให้ก.คลังมูลค่า 1.62หมื่นล้านบาทเป็นเพียงท่อก๊าซบนบกบางส่วน แต่มีท่อก๊าซบนบกและในทะเลอีก 3.26 หมื่นล้านบาทที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จึงถือว่าไม่ได้ทำตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอย่างถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้คสช.สั่งให้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ และสนง.ได้ส่งเรื่องไปเมื่อ 25 ส.ค.57และเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงเมื่อ 13 พ.ย.57 ซึ่งขณะนี้ต้องรอผลการตัดสินของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าเป็นอย่างไร โดยหากผลออกมาว่า PTT ควรคืนเพิ่ม ทางสตง.ก็จะขอให้ศาลฯแก้ไขคำสั่งเดิมและออกคำสั่งใหม่ความเห็นเชิงกลยุทธ์ : สำหรับผลกระทบต่อ PTT หากต้องคืนท่อก๊าซที่เหลือ 3.26 หมื่นล้านบาทให้กับรัฐบาลและมีการเช่ากลับ นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงาน DBSV ประเมินในเบื้องต้นว่าจะทำให้กำไรสุทธิจะลดลงจากประเด็นนี้ไม่เกิน 5% แต่เนื่องจาก PTT ได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นราคาLPG และ NGV เข้ามาช่วยชดเชย ประกอบกับยังมี Upside risks จากการขายหุ้น BCP และ SPRC รวมถึงการนำ GPSC เข้าจดทะเบียนในตลาดด้วยเรายังคงให้ PTT เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มพลังงาน

+ AOT : ประกาศจ่ายปันผล 3.4 บาท/หุ้น กำหนด XD 16 ธ.ค.57 ชำระเงิน 5 ก.พ.58 ซึ่งเป็นเงินปันผลของงวด 1 ต.ค.56-30 ก.ย.57

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 arparporns@th.dbsvickers.com

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!