WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์วันนี้ Volatility
      ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ปรับฐานลงเป็นวันที่ 6 อีก 2.19 จุด มาอยู่ที่ 1,500.20 จุด มูลค่าการซื้อขาย 44,176 ล้านบาท
     เงินทุนต่างชาติลดการลงทุนตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 468 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 4 อีก 6,118 สัญญา และขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 252 ล้านบาท เป็นที่น่าสนใจของการคง Short สุทธิใน SET50 Index futures ต่อเนื่อง แม้ว่า S50U14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างถึง 12.53 จุด ก็ตาม
     MBKET คาดตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนไปอีก 1-2 สัปดาห์ เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่เข้าหนุนการลงทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่การปรับฐาน อีกทั้งในช่วงปลายเดือนนี้ ผู้ถือหุ้น TRUE จะต้องชำระเงินเพิ่มทุนราว 3.6 หมื่นล้านบาท อาจชะลอการลงทุนในภาวะการลงทุนที่ขาดความชัดเจน อย่างไรก็ตาม MBKET ประเมินว่า เม็ดเงินใหม่จากการขายกองทุน Trigger Funds ของ 5 บลจ.ในสัปดาห์นี้ เงินทุนมีแนวโน้มเริ่มทยอยเข้าในสัปดาห์หน้า ส่วนกองทุน Trigger Fund ของ UOBAM วงเงิน 2.0 พันล้านบาท คาดเริ่มทยอยลงทุนในสัปดาห์นี้ จะเป็นตัวแปรที่น่าสนใจ
       ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐฯ กลับส่งสัญญาณอ่อนตัวลง ทั้งยอดการจ้างงานนอกภาคการเกษตร และอัตราการว่างงานที่ขยับขึ้นเป็น 6.2% จากเดือนก่อนหน้า 6.1% กลายเป็นปัจจัยที่น่าสนใจติดตาม เพราะมีผลต่อโอกาสที่เฟดจะไม่สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “Swing Trade คือ ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ” ตลอดช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ จนกว่าภาพการลงทุนมีความชัดเจน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ทยอยสะสม” CK/ SAMART

Portfolio
Top Pick in 3Q14: AP/ IFEC / TRUE
HOLD: SCC/ SPALI/ TTA/ SAMART/ SPCG/ BLAND/ IFEC/ BTS/ SIM/ MACO/ CK
Accumulative Buy: CK/ SAMART

Action and Stock of the Day
SET INDEX กลับมาปิดยืน 1,500 จุด

       ภาวะการลงทุนในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ยังมีความผันผวน การฟื้นตัวยังทำได้อย่างจำกัด เพราะขาดปัจจัยใหม่ บวกกับ ใกล้ช่วงวันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน

    จับตาหลังวันหยุดยาวสัปดาห์หน้า มีโอกาสเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ SET INDEX จากเม็ดเงินใหม่ของกองทุน Trigger Fund
     ดังนั้นกลยุทธ์ช่วงสั้น “Swing Trade” ขึ้นขาย ลงแรงซื้อ
     ตลาดหุ้นเอเชียวันศุกร์ ปรับฐานลงต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลข PMI ภาคการผลิตของจีนจะออกมาดีกว่าคาดก็ตาม บวกกับตลาดยุโรป เปิดก็ยังคงปรับฐานลงอีกเช่นกัน
ด้านตลาดหุ้นไทยวันศุกร์ SET INDEX เปิดหลุดแนว 1,500 จุด ลงไปทดสอบแนว 1,485 จุด +/- กดดันโดย PTT / SCC เช่นเดียวกับวันก่อนหน้า อีกทั้งบรรยากาศรอบเอเชียช่วงเช้า และ ยุโรปช่วงบ่าย เป็นลบ ยิ่งกดดันภาวะการลงทุน แม้ว่าจะเกิด Technical Rebound แต่ก็ยังฟื้นตัวได้อย่างจำกัด ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX อยู่ที่ 1,500.20 จุด ลบเป็นวันที่ 6 อีก 2.19 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 44,176 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดฟื้นตัวแรงสุดในวานนี้ได้แก่ กลุ่ม Professional +1.64%, กลุ่มโรงพยาบาล +1.36% และกลุ่มเหมืองแร่ +1.18% ขณะที่กลุ่มหลัก กลุ่มธนาคาร +0.56%, กลุ่มพลังงาน -0.63% และ กลุ่ม ICT +0.54%

ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.47 น.) เช้านี้ Nikkei – Kospi เปิดลบ เล็กน้อย เช่นเดียวกับวันศุกร์ที่ผ่านมา สอดคล้องกับ DJIA คืนวันศุกร์ที่ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด
MBKET คงมุมมองเป็น “กลาง” เป็นวันที่ 2 พร้อมคงภาวะการลงทุนที่ยังมีความผันผวนอยู่ในระดับสูง เช่นเดียวกับสัปดาห์ก่อน เนื่องจาก
•ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะการปรับฐาน เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน ดังจะเห็นได้จาก DJIA ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงกดดันจิตวิทยาการลงทุน
•ตลาดหุ้นเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวในปลายสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 9 – 12 ส.ค. ทำให้นักลงทุนภายในประเทศชะลอการลงทุน เมื่อภาวะการลงทุนไม่ชัดเจน
ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ SET INDEX มีภาวะการลงทุนที่ฟื้นตัว อยู่ที่เม็ดเงินจากกองทุน Trigger fund ที่ปิดการขายไป 1 กองทุน และ 5 กองทุนอยู่ระหว่างการขาย ซึ่งจะเปิดการขายภายในสัปดาห์นี้
•UOBAM: ปิดขายวันที่ 29 ก.ค. วงเงิน 2.0 พันล้านบาท
•KTAM / LH BANK AM/ MFC/ SCBAM / THANACHART Fund ปิดการขายกองทุนราววันที่ 6-7 ส.ค.
MBKET คาดว่า เงินทุนใหม่จากกองทุน Trigger Fund มีแนวโน้มไม่ต่ำกว่า 5.0 พันล้านบาทที่จะทยอยเข้าตั้งแต่สัปดาห์นี้ไปจนถึงสัปดาห์หน้า MBKET คาดว่าหุ้นขนาดกลางที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2Q57 และต่อเนื่อง 2H57 เติบโตโดดเด่น บวกกับประเด็นการลงทุนที่เด่นเฉพาะตัว น่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุน Trigger Fund ในรอบนี้
และหากประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน MBKET คงแนวรับหลักที่สำคัญ 1,470-1,480 จุด คิดเป็น PER15 ที่ 12.73x ใกล้เคียงกับ 1SD ของ 2Yr Forward PER ของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยตลอด 1 ปีที่ผ่านมาเล็กน้อยที่ 12.68x น่าจะยังทำงานได้อย่างแข็งแกร่งในรอบนี้
ทั้งนี้พัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศ MBKET เชื่อว่า ต่างชาติให้น้ำหนักและรอดูภาพที่ชัดเจน ซึ่งน่าจะเห็นภาพในเดือนส.ค.นี้ ไม่ว่าจะเป็น
•การประกาศรายชื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช) 200 คน พร้อมเปิดประชุมสภาฯ นัดแรกวันที่ 8 ส.ค. เพื่อพิจารณาและคัดเลือกประธาน และรองประธานสภาฯ ต่อจากนั้นจะเป็นการพิจารณานายกฯ และ ครม.คาดว่าจะเป็นกลางเดือนส.ค.นี้
•กำหนดให้เตรียมคำแถลงนโยบายรัฐบาล และงบประมาณต่อ สนช.ให้เสร็จภายในวันที่ 15 ส.ค.นี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มเข้าสู่ Roadmap ระยะที่ 2 ของคสช.แบบเต็มตัว คาดว่า นายกฯ จะแถลงต่อสนช.ได้ภายในปลายเดือนส.ค.หรือ ต้นเดือนก.ย.เป็นอย่างช้า
•รายละเอียด Roadmap ในด้านต่างๆ ที่คณะทำงานได้รับมอบนโยบายจากทาง คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนด้านเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะเห็นกรอบการทำงานภายในเดือนส.ค. พร้อมสรุปผลงานทุกๆ ไตรมาส
•แผนการลงทุน 2.4 ล้านล้านบาท คสช.อนุมัติในหลักการวานนี้ ลำดับถัดไป สนข ต้องเร่งจัดทำรายละเอียดของแผนการลงทุนทั้ง 5 ส่วนที่นำเสนอ
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “Swing Trade โดยขึ้นขาย ลงแรงซื้อ โดยใช้แนวรับ 1,470-1,480 จุด เป็นจุดตัดสินใจสะสมหุ้นหลักในอัตราเร่ง” เพราะเชื่อว่าเม็ดเงินใหม่จากกองทุน Trigger Funds จะเป็นตัวแปรสำคัญในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานการลงทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรง:
•อัตราการว่างงานขยับขึ้นเป็น 6.2% จากเดือนก่อนหน้า 6.1%
•การจ้างงานนอกภาคการเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 2.09 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 2.33 แสนตำแหน่ง และเดือนก่อนหน้า 2.98 แสนตำแหน่ง
•การจ้างงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียง 1.98 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 2.33 แสนตำแหน่ง และเดือนก่อนหน้า 2.70 แสนตำแหน่ง
ทั้งนี้ เฟด ให้น้ำหนักกับพัฒนาการการจ้างงานเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน ล่าสุดตัวเลขเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวอีกครั้ง และหากตัวเลขการจ้างงานโดยรวม เริ่มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โอกาสที่เฟดจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ก็ดูจะมีน้ำหนักน้อยลง
2.อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค.ชะลอตัว: อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค.ของไทย เพิ่มขึ้น 2.16% yoy ต่ำกว่า Bloomberg consensus คาด 2.40% yoy MBKET เชื่อว่า กนง.จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย RP1 วันที่ 2.00% ในการประชุมวันที่ 6 ส.ค. และมีความเป็นไปได้สูงที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปีนี้
3.พัฒนาการทางการเมืองในประเทศเป็นไปในเชิงบวก:
•สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เตรียมเปิดประชุมสภานัดแรกวันที่ 8 ส.ค.นี้ เพื่อเลือกประธาน และ รองประธานสภาฯ
•คาดกลางเดือนส.ค.จะมีการพิจารณาถึงตัวนายกรัฐมนตรี และ ครม.ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ
•คาดปลายเดือนส.ค. หรือ ต้นเดือนก.ย.เป็นอย่างช้า นายกรัฐมนตรี แถลงนโยบายการบริหารประเทศ และ งบประมาณปี 2558

วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 14.98 13.01 14.92 12.96
PSE 19.41 16.82 19.33 16.76
JSE 16.42 14.00 16.42 14.00
KOSPI 10.57 9.20 10.56 9.20
TAIEX 15.11 13.77 15.17 13.85
Straits Time 14.78 13.55 14.90 13.64
SHCOMP 8.68 7.69 8.75 7.74
ที่มา: Bloomberg

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ทยอยสะสม” ได้แก่
1.CK : ราคาปิด 25.00 บาท ราคาเหมาะสม 31.00 บาท
a)CK จะมา Roadshow เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุนรายย่อย และสถาบันในประเทศกับเราในวันพรุ่งนี้ (05 ส.ค. 2557)
b)MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และคาดว่าจะ Outperform ตลาดได้ใน 2H57 เนื่องจากมี Catalyst รออยู่ต่อเนื่องตั้งแต่ 4Q57 เป็นต้นไป ได้แก่
รถไฟฟ้ารางคู่ ฉะเชิงเทรา – แก่งคอย วงเงิน 11,348 ล้านบาท, เส้นทางจิระ – ขอนแก่น วงเงิน 2.6 หมื่นล้านบาท, เส้นทางลพบุรี – ปากน้ำโพ 24,000 ล้านบาท
รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน คือ สายสีเขียวเข้ม หมอชิต – คูคต 4.8 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีชมพู 5.8 หมื่นล้านบาท, สายสีส้ม 1.1 แสนล้านบาท และสายสีเหลือง 4.6 หมื่นล้านบาท .
โครงการสนามบินเฟส 2 มูลค่าโครงการ 6.2 หมื่นล้านบาท
c)และCK รายงานการขายหุ้น BMCL จำนวน 1,025 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 1.65 บาท คิดเป็นเงินรวม 1,691 ล้านบาท คาดว่าจะส่งผลให้บันทึกกำไรพิเศษหลังภาษีราว 808 ล้านบาท ในงบ 3Q57
d)เราให้ CK เป็น Top pick ของกลุ่ม เนื่องจากเป็นผู้นำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และปัจจุบันมี Backlog สูงถึง 1.3 แสนล้านบาทรองรับการเติบโตได้อีก 4-5 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าการถือหุ้นในบริษัทลูก เช่น BECL, BMCL, CKP, TTW จะส่งผลให้ CK มีโอกาสสูงที่จะได้รับงานรับเหมาก่อสร้างหากเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทลูก เช่น ทางด่วน, รถไฟฟ้า ฯลฯ
e)ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายระดับ PBV 2558 ที่ 2.4 เท่า ต่ำกว่า STEC ที่ 4.4 เท่า ชี้ให้เห็นว่าในแง่ Valuation แล้ว CK มีความน่าสนใจมากกว่า
2. SAMART : ราคาปิด 23.00 บาท ราคาเหมาะสม 26.00 บาท
a)SAMART จะรายงานงบ 2Q57 ในวันศุกร์นี้ ( 8 ส.ค. 2557) และคาดว่ากำไรสุทธิจะทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 405 ล้านบาท +13.4% yoy และ +3.1% qoq จากแรงหนุนของธุรกิจจำหน่ายมือถือผ่าน SIM ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 2Q57 เติบโต +62.2% yoy และ +45.8% qoq เป็น 285 ล้านบาท และเป็นระดับสูงสุดใหม่เช่นกัน
b)แนวโน้มผลประกอบการ 2H57 คาดว่าจะเติบโต HoH จาก 1H57 เนื่องจาก SAMART จะเริ่มรับรู้รายได้จากการจัดจำหน่ายกล่อง Set Top box และ เสาของทีวีดิจิตอลเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย. 2557 หลังภาคครัวเรือนได้รับคูปอง และรับรู้เต็มไตรมาสใน 4Q57
c)ขณะที่กำไรของ SIM คาดว่าจะทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่องใน 3Q57 และผลประกอบการของ SAMTEL จะฟื้นตัวใน 2H57 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้โครงการเป็นจำนวนมากใน 3Q และ 4Q57
d)คงประมาณการกำไรปกติปี 2557 ที่ 1,860 ล้านบาท +29.4% yoy และ +11.6% yoy เป็น 2,076 ล้านบาท ในปี 2558 และคาดการณ์เงินปันผล 1H57 หุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.9%
e)มูลค่าเงินลงทุนที่ SAMART ถืออยู่ในบริษัทลูก ได้แก่ SIM, SAMTEL และ OTO คิดเป็น NAV สุทธิต่อหุ้นสูงถึง 18.30 บาท หรือเทียบเท่าว่าตลาดให้มูลค่าของธุรกิจที่เหลือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่าย Set top box และเสาอากาศ, ธุรกิจควบคุมการจราจรทางอากาศในกัมพูชา, ธุรกิจโรงไฟฟ้า ฯลฯ เพียง 4.70 บาท จึงเชื่อว่าราคาหุ้นยัง Undervalue และแผนการลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และการนำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนเพิ่มเติมใน ตลท. จะเป็น Upside Risk ที่ยังไม่รวมในราคาเหมาะสมของเรา

What will DJIA move tonight? คืนนี้ไม่มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ US$49 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$375 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX 68.8 -333.8 11,450.3 9,188.0
KOSPI n.a n.a 6,880.4 4,875.1
JSE Closed Closed 4,955.4 -1,806.4
PSE -6.6 -5.3 1,006.9 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม 1.3 -1.1 278.3 263.2
SET INDEX -14.5 -34.3 -835.0 -6,210.5

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ผ่าน SET50 index ในอัตราเร่ง
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) -468 -1,095
SET50 Index Futures (สัญญา) -6,118 -2,520
SSF (สัญญา) -452 -443
Metal Futures (สัญญา) +91 +182
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) -252 +8,667

นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิเป็นวันที่ 4 อีกเพียง 468 ล้านบาท ขายสุทธิตลอด 4 วันทำการ 5,019 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิ 27,737 ล้านบาท
อีกทั้ง นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 4 ใน SET50 Index Futures เร่งขึ้นเป็น 6,118 สัญญา รวม 4 วันทำการ short สุทธิ 9,172 สัญญา เทียบกับตลอด 2 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิ 3,054 สัญญา คาดว่าเป็นการปิดสถานะ Long และกลับมาเปิด Short สุทธิต่อเนื่อง กดดันให้ S50U14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็นวันที่ 3 เป็น 12.53 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 7.77 จุด
Metal Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 5 อีก 91 สัญญา รวม 5 วันทำการ Long สุทธิเพียง 527 สัญญา เทียบกับตลอด 5 วันทำการก่อนหน้า Short สุทธิ 2,338 สัญญา และ 2 วันทำการก่อนที่ Long สุทธิ 1,356 สัญญา น่าจะเป็นการทยอยเปิดสถานะ Long ต่อเนื่องอีกเล็กน้อย แม้ว่าราคาทองคำในตลาดโลกจะแกว่งกรอบแคบ US$1,290-1,300 ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย
ด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ แต่ก็เพียง 252 ล้านบาท เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้า ซื้อสุทธิ 18,839 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยลดลงเล็กน้อย สะท้อนกลับมายังผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 1.35bps ปิดที่ 3.647%

Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 938 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าเท่ากับ 1,060 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
KBANK 120.32 9.60% 210.20
TRUE 98.20 3.45% 9.21
PTT 95.41 5.67% 313.14
BBL 51.78 5.52% 195.40
BLAND 49.79 2.24% 2.03


NVDR ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 เน้นลดน้ำหนักใน SCC และ TRUE
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 792 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 938 ล้านบาท ซึ่งเน้นลดน้ำหนักในหุ้นหลัก SCC / TRUE เป็นสำคัญ สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มวัสดุก่อสร้างถูกขายสุทธิสูงสุด 593 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 289 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่ม ICT ถูกขายสุทธิ 344 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 437 ล้านบาท กลุ่มธนาคาร ขายสุทธิ 110 ล้านบาท
2.กลุ่มอาหาร ถูกซื้อสุทธิสูงสุด 161 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซื้อสุทธิ 91 ล้านบาท เท่ากับกลุ่มปิโตรเคมีซื้อสุทธิ 91 ล้านบาท

ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
BBL 283.32 33.72 SCC -594.52 23.14
IVL 170.94 18.46 TRUE -473.06 12.75
CPF 144.11 10.66 KBANK -251.82 36.49
JAS 94.75 6.08 SCB -102.77 9.38
DTAC 79.80 25.05 PTTGC -80.59 9.78

Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Linrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!