WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์วันนี้ Remain Uncertainty
     ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดลบเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 6.57 จุด มาอยู่ที่ 1,522.41 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,917 ล้านบาท

   เป็นที่น่าสนใจว่า นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย 1,048 ล้านบาท คงสถานะ Long ใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 3 อีก 3,805 สัญญา แต่คงการขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 4 อีก 4,318 ล้านบาท สะท้อนมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยเป็นบวกมากขึ้น แม้ว่าภาวะการลงทุนรอบเอเชียและยุโรปวานนี้ไม่เอื้อต่อการลงทุนก็ตาม

     MBKET ประเมิน SET INDEX วันนี้แกว่งระหว่าง 1,518 – 1,530 จุดเช่นเดิม ทั้งนี้จับตาหุ้นหลักในกลุ่มธนาคารและค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อประเมินเม็ดเงินทุนต่างชาติต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งมีแนวโน้มเป็นเชิงบวกต่อเนื่องจากวานนี้ ขณะที่หุ้นขนาดกลางที่มีประเด็นเชิงบวกเชื่อว่าจะขยับเด่นกว่าภาพรวมเช่นเดียวกับ 2-3 วันทำการก่อนหน้า

      สำหรับ ปัจจัยในประเทศวันนี้ การขึ้นเครื่องหมาย XD ของ SCC วันนี้ 5.50 บาท/หุ้น จะมีผลกระทบต่อ SET INDEX ราว 0.73 จุดเท่านั้น รวมถึงหุ้น JAS ที่วานนี้ปิดลบ 9.66% และตลอด 3 วันทำการลดลง 12.67% เนื่องจากความไม่แน่นอนของการทำธุรกิจ TTBB ที่ TT&T ฟ้องร้อง Acument บริษัทย่อยของ JAS หากราคาหุ้น JAS วันนี้ฟื้นตัว เป็นโอกาสของการทยอยลดน้ำหนักการลงทุน เพื่อปิดความเสี่ยงของการลงทุน ทั้งนี้นักลงทุนอาจ “Switch จาก JAS ไปยัง TRUE” อาจเป็นทางออกที่น่าสนใจ และลดความเสียหายจากการลงทุนใน JAS

     ด้านปัจจัยต่างประเทศ ติดตามการประชุม ECB / BoE ต่อการพิจารณานโยบายการเงิน ทั้งนี้ตลาดคาดธนาคารกลางทั้ง 2 จะยังไม่ปรับเปลี่ยนนโยบาย แต่ด้วยภาพเศรษฐกิจในอียูที่เริ่มชะลอตัวเด่นชัด อาจทำให้ ECB ส่งสัญญาณพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มเติมได้
กลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “Swing Trade คือ ขึ้นแรงขาย ลงแรงซื้อ” โดยเฉพาะบริเวณ 1,520-1,530 จุด ที่ควรพิจารณาขายทำกำไร เว้นเสียจาก SET INDEX ทะลุแนว 1,530 จุด
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” SPCG

Portfolio
Top Pick in 3Q14: AP/ IFEC / TRUE
HOLD: SPALI/ SAMART/ SPCG/ BLAND/ IFEC/ BTS/ SIM/ MACO/ CK
Speculative Buy: SPCG

Action and Stock of the Day
SET INDEX พยายามยืนเหนือ 1,530 จุด

      SET INDEX ยังอยู่ในช่วงของการพักฐาน หลัง SET INDEX ยังปิดไม่ผ่าน 1,530 จุดเป็นวันที่ 2
วันนี้ขึ้นเครื่องหมาย XD ของ SCC จะมีผลต่อ SET INDEX ราว 0.73 จุด
ติดตามค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และการเคลื่อนไหวราคาหุ้นหลักของกลุ่มธนาคาร / ICT เพื่อประเมินกระแสเงินทุนต่างชาติ

ดังนั้นกลยุทธ์ช่วงสั้น “Swing Trade” ขึ้นขาย ลงแรงซื้อ
      ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ปรับฐานลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ภาพตลาดหุ้นทั่วโลกยังอยู่ในช่วงของการปรับฐาน แม้ตลาดหุ้นไต้หวันจะพยายาม Rebound แต่ก็ทำได้อย่างจำกัดเท่านั้น +0.03%
      ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ SET INDEX แกว่งระหว่าง 1,520-1,530 จุด โดยเป็นการเก็งกำไรรายตัว ไม่ว่าจะเป็น TRUE / BTS/ PTTEP แต่ก็เกิดแรงขายในหุ้นหลักที่ปรับตัวขึ้นมาแรงก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร ทำให้ SET INDEX ยังไร้ทิศทางที่ชัดเจน ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX อยู่ที่ 1,522.41 จุด ลบเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 6.57 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 49,917 ล้านบาท
       กลุ่มที่ปิดฟื้นตัวแรงสุดในวานนี้ได้แก่ กลุ่มกระดาษ +3.64%, กลุ่ม Packaging +0.62% และกลุ่มโรงพยาบาล +0.33% ขณะที่กลุ่มหลัก กลุ่มธนาคาร -0.58%, กลุ่มพลังงาน +0.17% และ กลุ่มอสังหาฯ -1.47%

ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
     ตลาดหุ้นเอเชีย (7.32 น.) เช้านี้ Nikkei – Kospi เปิดลบเล็กน้อย เพราะค่าเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
      MBKET คงมุมมองเป็น “กลาง” เป็นวันที่ 5 หลัง SET INDEX วานนี้ยังไม่ผ่าน 1,530 จุด แต่กลับย่อตัวลงปิดบริเวณ 1,522.41 จุด ซึ่งยังไม่หลุดแนวรับ 1,520 จุดเช่นกัน ทำให้ภาพ SET INDEX ยังคงอยู่ในช่วงของการปรับฐานเช่นเดิม ทั้งนี้จับตาแนวรับ 1,515-1,520 จุดในช่วง 1-2 วันนี้จะทำงานได้อย่างแข็งแกร่งหรือไม่ เพราะมีปัจจัยแวดล้อมที่อาจกดดัน SET INDEX อยู่บางส่วน ไม่ว่าจะเป็น
      •การขึ้นเครื่องหมาย XD ของ SCC ที่ 5.50 บาท วันนี้ ผลกระทบต่อ SET INDEX ราว 0.73 จุด
      •ช่วงปลายสัปดาห์นี้จะเข้าสู่วันหยุดยาวของตลาดหุ้นไทย จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการขายเพื่อปิดความเสี่ยงในช่วงกลางสัปดาห์ต่อเนื่อง

     เพียงแต่ Downside risk ของตลาดหุ้นไทยก็จำกัดเช่นกัน หลังจากการปรับฐานในสัปดาห์ก่อน ระดับ 1,480 จุด น่าจะทำงานได้อย่างแข็งแกร่งในครั้งเช่นกัน อีกทั้งการคาดหวังต่อเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยตั้งแต่สัปดาห์นี้ ต่อเนื่องถึงสัปดาห์หน้า ผ่านกองทุน Trigger Funds ได้แก่
      •UOBAM: ปิดขายวันที่ 29 ก.ค. วงเงิน 2.0 พันล้านบาท น่าจะทยอยเข้าสะสมหุ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์
      •KTAM / LH BANK AM/ MFC/ SCBAM / THANACHART Fund ปิดการขายกองทุนราววันที่ 6-7 ส.ค. ประเมินเงินลงทุนใหม่ในส่วนนี้ไม่น่าต่ำกว่า 5.0 พันล้านบาท ที่จะทยอยเข้าลงทุนในสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
รวมถึงจับตาการเคลื่อนไหวเงินทุนต่างชาติ หลังตลอด 3 วันทำการที่ผ่านมา นักลงทุนกลุ่มนี้ Long สุทธิใน SET50 Index Futures รวม 13,049 สัญญา คาดว่าจะเป็นการปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้า 9,172 สัญญา ส่วนต่างคือการเปิดสถานะ Long ใน SET50 Index Futures รวมถึงการทยอยสะสมหุ้นไทย 1,048 ล้านบาท ย่อมเป็นสัญญาณบวกที่น่าสนใจ ดังนั้น สัญญาณที่ประเมินเงินทุนต่างชาติในระลอกนี้ได้แก่
•การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ หากมีแนวโน้มเป็นการแข็งค่า ย่อมเป็นสัญญาณบวกต่อเงินทุนไหลเข้า

    •การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นหลัก ในกลุ่มธนาคาร และ/หรือ ICT จะเป็นสัญญาณบวกต่อการคาดหวังเงินทุนต่างชาติไหลเข้า

     นอกจากนี้ นักลงทุนกลุ่มนี้รอความชัดเจน “นายกรัฐมนตรี และ ครม.” โดยเฉพาะ รัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงอุตฯ และกระทรวงไอซีที MBKET คาดว่าจะเริ่มเห็นรายชื่อในช่วงครึ่งหลังของเดือนส.ค. หลัง สนช.ประชุมนัดแรก วันที่ 8 ส.ค. เพื่อเลือกประธาน และรองประธานสภาฯ

     ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศ ตลอดเดือนส.ค. MBKET ให้น้ำหนักค่อนข้างมากต่อประเด็นนี้ ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ได้แก่
•การเปิดประชุม สนช. ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมวันนี้ และวันพรุ่งนี้เป็นการประชุม สนช. เพื่อพิจารณาและคัดเลือกประธาน และรองประธานสภาฯ ต่อจากนั้นจะเป็นการพิจารณานายกฯ และ ครม.คาดว่าจะเป็นกลางเดือนส.ค.นี้

     •กำหนดให้เตรียมคำแถลงนโยบายรัฐบาล และงบประมาณต่อ สนช.ให้เสร็จภายในวันที่ 15 ส.ค.นี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการเริ่มเข้าสู่ Roadmap ระยะที่ 2 ของคสช.แบบเต็มตัว คาดว่า นายกฯ จะแถลงต่อสนช.ได้ภายในปลายเดือนส.ค.หรือ ต้นเดือนก.ย.เป็นอย่างช้า

    •รายละเอียด Roadmap ในด้านต่างๆ ที่คณะทำงานได้รับมอบนโยบายจากทาง คสช. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนด้านเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะเห็นกรอบการทำงานภายในเดือนส.ค. พร้อมสรุปผลงานทุกๆ ไตรมาส
•แผนการลงทุน 2.4 ล้านล้านบาท คสช.อนุมัติในหลักการวานนี้ ลำดับถัดไป สนข ต้องเร่งจัดทำรายละเอียดของแผนการลงทุนทั้ง 5 ส่วนที่นำเสนอ
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “Swing Trade โดยขึ้นขาย ลงแรงซื้อ โดยแนวรับต่ำกว่า 1,500 จุดในระลอกนี้ เป็นจุดตัดสินใจสะสมหุ้นหลักในอัตราเร่ง” เพราะเชื่อว่าเม็ดเงินใหม่จากกองทุน Trigger Funds จะเป็นตัวแปรสำคัญในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ภายใต้ปัจจัยพื้นฐานการลงทุนที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.การเปิดประชุม สนช. วันนี้: ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และในวันพรุ่งนี้ การเปิดประชุม สนช. เพื่อพิจารณาเลือก ประธาน และ รองประธาน สภาฯ จับตาตำแหน่งประธาน ว่าจะเป็นผู้ใด และประเด็นสำคัญที่จะตามมาคือ
•ผู้ที่จะเข้ามารับตำแหน่ง นายกฯ และ ครม. คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของเดือนส.ค. จะได้ข้อสรุปเบื้องต้น
•นโยบายการบริหารประเทศ และงบประมาณปี 2558 ร่างเบื้องต้นกำหนดเสร็จในวันที่ 15 ส.ค.
MBKET เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติ ต่างรอดูรายละเอียด เพื่อประเมินทิศทางการบริหารเศรษฐกิจ รวมถึงความเชื่อมั่นในเชิงธุรกิจ
2.การขึ้นเครื่องหมาย XD ของ SCC วันนี้: มูลค่า 5.50 บาท / หุ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อ SET INDEXราว 0.73 จุด
3.ติดตามการประชุมธนาคารกลาง ECB – BoE เย็นนี้:
•ECB: น้ำหนักสำคัญอยู่ที่มุมมองต่อเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันที่ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว รวมถึง ECB อาจส่งสัญญาณพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินส่วนเกินเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการจ้างงาน อาจทำให้เกิดเงินทุนไหลออกจากตลาดยุโรป สู่เอเชีย ก็มีความเป็นไปได้
•BoE: น้ำหนักอยู่ที่แนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษที่เติบโตแข็งแกร่ง ต่อเนื่อง อาจทำให้ BoE ปรับนโยบายการเงิน เป็นเข้มงวด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และราคาอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอังกฤษ
4.ราคาหุ้น JAS อาจฟื้นตัว Technical Rebound แต่อาจเป็นจังหวะของการ Switch: แม้ว่าประเด็นการฟ้องร้องระหว่าง TT&T และ Acument บริษัทย่อยของ JAS ในการถือหุ้น TTBB จะยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งต้องรอศาลแพ่ง พิจารณา ในเบื้องต้นว่าจะคุ้มครองฉุกเฉินหรือไม่ ทำให้ความไม่แน่นอนของการทำธุรกิจ TTBB เกิดขึ้น การฟื้นตัวของราคาหุ้น JAS อาจเป็นไปได้อย่างจำกัด ในช่วงนี้ จนกว่าจะทราบผลจากศาลแพ่ง
MBKET ให้ความเห็นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน บนหุ้น JAS หากราคาหุ้นเกิด Technical Rebound ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย อาจกลายเป็นจังหวะของการ cut loss และเปลี่ยนตัวลงทุนไปยัง TRUE ซึ่งเป็นหุ้น High Beta เช่นกัน แต่แนวโน้มปัจจัยพื้นฐานที่จะกลับสู่ความแข็งแกร่ง หลังเพิ่มทุนเสร็จในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การถูกปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นเป็น Investment grade และการเปิดทางให้กองทุนระยะยาว ของต่างชาติ จะกลับมาสนใจและตัดสินใจลงทุนใน TRUE

วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 15.23 13.26 15.28 13.31
PSE 19.52 16.93 19.63 17.02
JSE 16.35 13.95 16.51 14.08
KOSPI 10.53 9.13 10.52 9.15
TAIEX 14.84 13.61 14.86 13.58
Straits Time 14.60 13.43 14.64 13.46
SHCOMP 8.80 7.79 8.82 7.80
ที่มา: Bloomberg

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ได้แก่
1.SPCG : ราคาปิด 25.50 บาท ราคาเหมาะสม 27.60 บาท
a)SPCG จะรายงานผลประกอบการ 2Q57 ในวันพรุ่งนี้ และคาดว่ากำไรสุทธิจะทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 447 ล้านบาท +311.9% yoy และ +65.7% qoq เนื่องจากเป็นไตรมาสแรกที่โครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 36 โครงการติดตั้งเสร็จสิ้นและรับรู้รายได้ เมื่อเทียบกับ 1Q57 ที่รับรู้รายได้ 27 โครงการ
b)คาดกำไรสุทธิ 3Q57 ทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เติบโตทั้ง yoy และ qoq เนื่องจาก 1. รับรู้รายได้ขายไฟฟ้าทั้ง 36 โครงการแบบเต็มไตรมาส 2.ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการ Refinance ด้วยการออกหุ้นกู้
c)และคาดว่าจะประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกพร้อมงบ 2Q57 หุ้นละ 0.20 – 0.30 บาท เป็นสัญญาณบวกว่าบริษัทได้ผ่านพ้นช่วงลงทุนขนาดใหญ่ และเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวดอกผล และคาดการณ์เงินปันผลปี 2557 หุ้นละ 0.89 บาท คิดเป็น Dividend Yield ราว 3.5%
d)Valuation ยังไม่แพง เนื่องจากซื้อขายระดับ PER 2558 ที่ 10.3 เท่า ต่ำกว่า EA ที่ 27.7 เท่า และเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจพลังงานทางเลือก เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐฯ และมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกให้เพิ่มขึ้นเป็น 30% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า

What will DJIA move tonight? คืนนี้มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ ได้แก่ ยอดขอสวัสดิการว่างงาน

Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิอีกเล็กน้อย US$81 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$645 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX 171.3 -604.3 11,063.2 9,188.0
KOSPI n.a n.a 7,342.7 4,875.1
JSE -102.9 -11.1 4,917.9 -1,806.4
PSE -11.8 -0.9 951.9 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม -8.4 -2.7 268.7 263.2
SET INDEX 32.5 -26.2 -795.6 -6,210.5

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติกลับมาสะสมหุ้นไทยอีกครั้ง
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) +1,048 -843
SET50 Index Futures (สัญญา) +3,805 +4,223
SSF (สัญญา) -427 +1,987
Metal Futures (สัญญา) -302 -113
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) -4,318 -4,890

นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง 1,048 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 843 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิลดลงเป็น 26,472 ล้านบาท
แต่ นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 3 อีก 3,805 สัญญา รวม 3 วันทำการ Long สุทธิ 13,049 สัญญา เทียบกับตลอด 4 วันทำการก่อนหน้า short สุทธิ 9,172 สัญญา คาดว่าจะเป็นการเร่งปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้า และกลับมามีสถานะ Long สุทธิใน SET50 Index Futures อีกครั้ง เมื่อ S50U14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็นวันที่ 2 มากถึง 12.22 จุด จากวันก่อนหน้า Discount 10.01 จุด สะท้อน Downside ของ SET50 Index ไปมากแล้ว
Metal Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Short สุทธิเป็นวันที่ 2 อีก 302 สัญญา รวม 2 วันทำการ Short สุทธิ 415 สัญญา เทียบกับตลอด 6 วันทำการก่อนหน้า Long สุทธิเท่ากับ 1,757 สัญญา น่าจะเป็นการทยอยปิดสถานะ Long เมื่อราคาทองคำในตลาดโลกแกว่งในกรอบแคบระหว่าง US$1,280-1,290 ระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย
ด้านตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้คงการขายสุทธิเป็นวันที่ 4 อีก 4,318 ล้านบาท รวม 4 วันทำการขายสุทธิ 14,898 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 3 ผ่านผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงมากถึง 4.68bps ปิดที่ 3.580%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงเป็น 863 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 1,118 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
TRUE 193.30 5.66% 10.49
JAS 185.90 3.02% 6.71
PTT 43.95 5.91% 326.76
KBANK 38.49 5.72% 215.02
BBL 37.56 4.70% 199.35

NVDR กลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย แต่เป็นการปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลักเท่านั้น

การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้กลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง แต่ก็เพียง 129 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิมากถึง 1,436 ล้านบาท สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มธนาคารถูกซื้อสุทธิอีกครั้ง 412 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 713 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน ซื้อสุทธิ 222 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 185 ล้านบาท และกลุ่มอสังหาฯ ซื้อสุทธิ 56 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 233 ล้านบาท
2.ขณะที่กลุ่ม ICT ถูกขายสุทธิสูงสุด 319 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 393 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 182 ล้านบาท

ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
BBL 221.60 27.46 JAS -281.86 4.63
KBANK 212.16 33.96 SCC -178.41 23.98
LH 193.52 35.57 CPN -173.72 17.04
ADVANC 172.61 15.97 TRUE -122.35 4.32
PTT 126.17 19.82 INTUCH -103.92 9.13

Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!