WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์วันนี้ Technical Rebound
       ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับฐานลงเป็นวันที่ 2 อีก 10.37 จุด ปิดที่ 1,342.35 จุด แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 34,829 ล้านบาท
      เงินทุนต่างชาติคงลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยตามภาพรวมของภูมิภาค ด้วยการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 1,875 ล้านบาท Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 มากถึง 5,247 สัญญา แต่คงการซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 3 เล็กน้อย 453 ล้านบาท สัญญาณเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะมีผลกระทบต่อหุ้นหลัก Blue Chip ใน SET50 Index โดยเฉพาะอย่างยิ่ง KBANK / PTT
       ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้ MBKET คาดเกิด Technical Rebound แต่ Upside gain จำกัด ด่าน 1,550-1,555 จุด จะยังผ่านได้อย่างจำกัด เพราะคาดว่านักลงทุนทั่วโลกจะกลับมาเก็งกำไรต่อการคาดหวังมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงินจาก ECB เพิ่มเติม โดยเฉพาะการขอให้ ECB เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสมาชิกได้ เหมือนที่เคยใช้ในปี 2554 เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะของประเทศสมาชิก
นอกจากนี้สถานการณ์ของอียูที่เสี่ยงต่อเศรษฐกิจเกิด Double Dip Recession กลายเป็นข้ออ้างที่เฟดอาจประวิงเวลาในการพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังสิ้นสุดโครงการ QE ในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค.นี้
     ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่รอดูผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะในวันที่ 17 ต.ค.ที่ธนาคารขนาดใหญ่เริ่มทยอยประกาศ เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจ และการเติบโตของกำไรสุทธิในกลุ่มธนาคารทั้งปีนี้และปีหน้า
      ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วง 1-2 สัปดาห์จากนี้ เรายังคงแนะนำให้เป็น “Swing Trade คือ ขึ้นแรงขาย และลงแรงซื้อ” หุ้นขนาดกลางที่มีประเด็นการลงทุนเชิงบวกเฉพาะ
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ทยอยสะสม” BTS/ KTB
Portfolio Top Pick in 4Q14: BEUATY / IFEC/ LPN/ PTT/ VGI
HOLD: SAMART/ SPCG/ IFEC/ BTS/ SIM/ CK/ LPN/ VGI/ PTT
Accumulative Buy: BTS / KTB

Action and Stock of the Day
SET INDEX ปรับฐานแกว่งแคบ 1,540 จุด +/-
SET INDEX วันนี้ให้น้ำหนักกับการเกิด Technical Rebound แต่ upside gain ยังคงจำกัด

แนะติดตาม KBANK / PTT จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง SET INDEX ช่วงนี้
หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง อย่าง BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในระลอกของการดีดตัวช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน Swing Trade ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ โดยรวมยังคงปรับฐานลงต่อเนื่องจากปลายสัปดาห์ก่อน แม้ว่าจีนจะรายงานตัวเลขส่งออก – นำเข้า ออกมาดีกว่าคาดก็ตาม
ด้านตลาดหุ้นไทย เปิดซึมตัวลง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย กดดันโดยหุ้นหลัก PTT / KBANK ส่งผลให้ SET INDEX แกว่งแคบ 1,540 จุด +/- โดยหุ้นขนาดกลางที่มีประเด็นบวกเด่นเฉพาะตัวจะขยับขึ้นสวนทางกับภาพรวมของตลาดหุ้นไทย เช่น CPF / TPIPL / ADVANC เป็นต้น ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX อยู่ที่ 1,542.35 จุด ลบเป็นวันที่ 2 อีก 10.37 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 34,829 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกเด่นสุดได้แก่ กลุ่มเหล็ก +1.33%, กลุ่มเกษตร +1.14% และกลุ่ม Home +0.83% ส่วนกลุ่มหลักกลุ่มธนาคาร -0.76%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง -0.91% และกลุ่มพลังงาน -1.96%

ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.25 น.) เช้านี้ Nikkei เปิดลบแรงกว่า 2% เนื่องจากวันก่อนหน้าตลาด Nikkei ปิดทำการ ขณะที่ Kospi เปิดฟื้นตัวพร้อม DJIA Futures
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ MBKET คงมุมมองเป็น “กลาง” เป็นวันที่ 13 พร้อมคงกรอบแกว่งของ SET INDEX ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ระหว่าง 1,520-1,570 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อเนื่อง เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน อีกทั้งนักลงทุนทั่วโลกต่างรอดูผลการประชุมเฟดในวันที่ 28-29 ต.ค. เพื่อติดตามมุมมองต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในกลางปีหน้าจะปรับขึ้นได้หรือไม่
และหากประเมินจากจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก เป็น “กลางถึงลบ” หรือเข้าโหมด “กลัว (Fear)” เช่นกัน เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นประเทศที่พัฒนาแล้ว (DM) ขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 4Q56 ที่ผ่านมา ส่วนตลาดหุ้นเกิดใหม่เริ่มฟื้นตัวในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วเริ่มเสียโมเมนตัมการเติบโต นำโดยกลุ่มอียู และ ญี่ปุ่น ทำให้นักลงทุนเน้นการขายเพื่อ Lock-in Profit และปิดความเสี่ยงในช่วงสั้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชีย เนื่องจาก Valuation ที่เข้าสู่โซนแพงเช่นกัน
ดังนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับมาทรงตัว / ตั้งฐานได้ ขึ้นอยู่กับ
•ธนาคารกลางสำคัญของโลกเพิ่มมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
oECB อาจตัดสินใจเพิ่มประเภทของการเข้าซื้อสินทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสมาชิก เหมือนที่เคยเข้าซื้อในปี 2554 และประสบความสำเร็จในการเรียกความเชื่อมั่นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
oBoJ อาจส่งสัญญาณ เพิ่มวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น และตราสารหนี้ของเอกชน
oFED ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง หรือ ยาวนานมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณเสี่ยงต่อการเติบโตต่ำมากขึ้น รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ
•ตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ / จีน / อียู เริ่มทรงตัวถึงดีกว่าที่ตลาดคาด อาจทำให้นักลงทุนทั่วโลก คลายความกังวล
•ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นแต่ละแห่ง ออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ ให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเข้าสู่เทศกาลประกาศงบการเงินตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับตลาดหุ้นไทย MBKET ให้น้ำหนักกับผลการดำเนินงาน 3Q57 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. และหุ้นหลักในกลุ่มธนาคารจะประกาศในวันที่ 17 และ 21 ต.ค. ซึ่งเป็นประเด็นที่นักลงทุน โดยเฉพาะกองทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจ เพราะ
•หากงบกลุ่มธนาคารออกมาใกล้เคียงหรือดีกว่าที่ตลาดคาด เชื่อว่าแรงขายหุ้นหลักเริ่มลดลง และอาจกลับมาเพิ่มน้ำหนักเป็นรายหลักทรัพย์ได้
•แต่หาก งบออกมาแย่กว่าคาด เชื่อว่าจะเกิดแรงขายลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นหลักกลุ่มธนาคารต่อเนื่อง แต่จะเป็นสัดส่วนที่ชะลอตัวมากขึ้น เพื่อปิดความเสี่ยงช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “นักลงทุนพิจารณา ขึ้นแรงขาย – ลงแรงซื้อ” เพื่อปิดความเสี่ยงในช่วงที่ทิศทางการลงทุนไม่ชัดเจน ความผันผวนอยู่ในระดับสูง
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว หรือระยะเวลาการลงทุน 3 เดือนขึ้นไป ทีมกลยุทธ์ MBKET แนะนำให้ “ทยอยสะสม” เมื่อ SET INDEX เกิดการย่อตัวต่ำกว่าระดับ 1,540 จุด หุ้นที่มีประเด็นการลงทุนเด่น พร้อมกับแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานที่เด่นกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มอุตฯ เดียวกัน เป็นทางเลือกของการลงทุน หาก ราคาหุ้นเกิดการปรับฐานลงระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย หุ้น Top Pick : BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI ขณะที่หุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ที่ช่วยปิด downside risk ของราคาหุ้นได้แก่ BTS / TRUEIF สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ

ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.งบ TISCO ออกมาเท่ากับคาด: ธนาคารพาณิชย์ไทย TISCO รายงาน 3Q57 ออกมาเท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ กำไรสุทธิเติบโต 10% qoq เป็น 1.1 พันล้านบาท โดยสินเชื่อหดตัว 2.0% qoq และ 3.5% yoy สอดคล้องกับที่ตลาดให้มุมมองเป็นลบต่อภาพรวมสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ตามทิศทางยอดขายรถยนต์ที่ยังไม่ฟื้นตัว
MBKET ให้น้ำหนักกับผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารที่จะทยอยประกาศเพิ่มเติม
•วันที่ 15 ต.ค. KKP / TMB
•วันที่ 17 ต.ค. BAY / BBL / KBANK / SCB / TCAP
•วันที่ 21 ต.ค. KTB
2.ติดตามการประชุม ครม.: วันนี้ ครม.มีแนวโน้มพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือ ชาวสวนยาง เนื่องจากราคาตกต่ำ

วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 15.64 13.42 15.75 13.50
PSE 19.55 16.88 20.12 17.37
JSE 15.80 13.49 15.98 13.63
KOSPI 9.83 8.56 9.83 8.56
TAIEX 13.77 12.60 Closed Closed
Straits Time 14.12 13.01 14.21 13.09
SHCOMP 9.38 8.29 9.42 8.32
ที่มา: Bloomberg

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ทยอยสะสม” ได้แก่
1.KTB : ราคาปิด 23.20 บาท ราคาเหมาะสม 27.00 บาท
a)คาดกำไรสุทธิ 3Q57 เติบโต +3% yoy และ +22% qoq เป็น 9.2 พันล้านบาท จากสินเชื่อ 3Q57 ที่กลับมาขยายตัว +8% yoy ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ NIM ทรงตัวที่ 2.88% จาก 2Q57 ที่ 2.90% ขณะที่การตั้งสำรองคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติเหลือ 2.7 พันล้านบาทใน 3Q57 จาก 2Q57 ที่ 5.3 พันล้านบาท
b)ทิศทางสินเชื่อ 4Q57 จะเติบโตสูง และคาดว่าจะทำใกล้เคียงกับเป้าหมายทั้งปีของผู้บริหารที่ 6-8% (9M57 เติบโต +6.3% YTD) จากแรงหนุนของการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ เนื่องจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
c)คาดกำไรสุทธิปี 2558 เติบโต +12.9% yoy เป็น 38,054 ล้านบาท และมี Valuation ที่ยังไม่สูงมากนัก โดยซื้อขายระดับ PBV 2558 ที่ 1.3 เท่า ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น KBANK 1.9x, SCB 1.9x และ BAY 2.0x
d)ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีราวปีละ 4% และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง จึงโดดเด่นกว่าหุ้นธนาคารอื่นในกลุ่ม ที่มีการจ่ายเงินปันผล 1H57 ไปแล้ว
2.BTS : ราคาปิด 10.00 บาท ราคาเหมาะสม 11.40 บาท
a)MBKET ประเมินว่าหุ้น Defensive ที่มีรายได้มั่นคง และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง จะ Outperform ตลาดที่อยู่ในภาวะผันผวนได้
b)ราคาหุ้นมีปัจจัยบวกรออยู่ หลังกระทรวงคมนาคมเห็นชอบหลักการ ให้ BTS – กทม. – รฟม. เจรจากัน เพื่อเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) และเขียวใต้ (แบริ่ง – สมุทรปราการ) โดยกำหนดให้หาข้อสรุปภายในปีนี้
c)เรามีมุมมองเป็นบวกต่อความคืบหน้าดังกล่าว เนื่องจากวิธีการเจรจาจะช่วยร่นระยะเวลาเมื่อเทียบกับการเปิดประมูลแบบปกติ และเชื่อว่ามีโอกาสสูงที่ BTS จะได้เป็นผู้ให้บริการเดินรถไฟฟ้าใน 2 เส้นทางดังกล่าว เนื่องจากเป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายปัจจุบันของบริษัท ดังนั้น การให้ BTS บริหารการเดินรถจะส่งผลให้มีประสิทธิภาพด้านต้นทุนสูงสุด
d)การปลดล็อก Asset Value โดยขายที่ดิน 2 แปลงและโรงแรม ให้กับ NPARK โดยรับผลตอบแทนเป็นหุ้น NPARK จะช่วยสะท้อนมูลค่าของธุรกิจ Property ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น จากเดิมที่ตลาดประเมินมูลค่าเพียงแค่ Book Value และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีราว 6-7% ต่อปี

What will DJIA move tonight? คืนนี้ไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ

Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติวานนี้ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 อีก US$144 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$117 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX -281.4 Closed 10,336.1 9,188.0
KOSPI n.a n.a 6,501.4 4,875.1
JSE -48.8 -50.8 3,864.1 -1,806.4
PSE -24.7 -34.4 1,065.4 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม -12.5 0.7 193.2 263.2
SET INDEX -57.8 -32.7 -218.9 -6,210.5

Foreign Investors Action วานนี้
ต่างชาติลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) -1,875 -1,060
SET50 Index Futures (สัญญา) -5,247 -1,048
SSF (สัญญา) +4,045 -1,863
Metal Futures (สัญญา) -177 +392
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) +453 +5,044

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 1,875 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 2,935 ล้านบาท สอดคล้องกับภาพรวมของตลาดหุ้นในกลุ่ม TIPs ที่นักลงทุนต่างชาติต่างลดน้ำหนักการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ ขายสุทธิเป็น 8,878 ล้านบาท
และคงการ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 2 เร่งขึ้นเป็น 5,247 สัญญา รวม 2 วันทำการ Short สุทธิ 6,295 สัญญา เมื่อ S50Z14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเหลือเพียง 2.16 จุด จากวันก่อนหน้า Discount มากถึง 4.66 จุด ยิ่งกระตุ้นให้นักลงทุนกลุ่มนี้ Short สุทธิต่อเนื่อง
แต่ตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้คงการซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 เพียง 453 ล้านบาท รวม 3 วันทำการซื้อสุทธิ 8,273 ล้านบาท เนื่องจากราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยขยับขึ้นแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงแรง 3.10bps ปิดที่ 3.353%

Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงอีกเหลือ 664 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 745 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
PTT 96.44 4.81% 358.24
KBANK 92.18 7.85% 224.54
TRUE 62.39 3.35% 11.24
SCB 52.86 6.40% 177.26
AOT 32.45 4.19% 217.62

NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เน้นลดน้ำหนักในกลุ่มธนาคารอีกครั้ง
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้กลับมาขายสุทธิ 680 ล้านบาท จาก 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 1,958 ล้านบาท ทั้งนี้กลุ่มธนาคารกลับมาเป็นเป้าหมายหลักของการลดน้ำหนักอีกครั้ง ภาพรวมการลงทุนผ่าน NVDR สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มธนาคารถูกขายสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 462 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 99 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มค้าปลีก ขายสุทธิ 272 ล้านบาท และกลุ่ม ICT ขายสุทธิ 149 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 252 ล้านบาท
2.ด้านอาหารถูกซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 อีก 189 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 316 ล้าน ตามมาด้วยกลุ่มขนส่ง ซื้อสุทธิ 182 ล้านบาท

ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
TUF 257.14 34.93 CPALL -259.50 22.85
AOT 215.75 16.47 KTB -173.94 28.12
ADVANC 180.60 35.97 BBL -142.34 12.32
PTT 75.38 7.29 TRUE -111.37 8.80
BH 49.10 25.25 INTUCH -106.10 39.78

Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!