WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์วันนี้ Test 1555-1560
      ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ฟื้นตัวเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 4.43 จุด ปิดที่ 1,546.78 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 36,278 ล้านบาท
     ด้านกระแสเงินทุนต่างชาติชะลอตัวมากขึ้น กลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการเพียง 250 ล้านบาท คงการ short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 3 เพียง 764 สัญญา และกลับมาขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 2,643 ล้านบาท ส่งผลให้หุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร / พลังงาน ทรงตัวถึงบวก ช่วยการฟื้นตัวของ SET INDEX วานนี้
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้ MBKET คาด SET INDEX แกว่งขึ้นทดสอบ 1,555 – 1,560 จุด พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อเนื่อง กลยุทธ์การลงทุนยังคงเก็งกำไรเป็นรายหลักทรัพย์ หรือ รายกลุ่มที่มีประเด็น ได้แก่
     •กลุ่มธนาคารแนวโน้มทรงตัวดี เมื่อ TISCO / TMB รายงานงบออกมาเท่ากับถึงดีกว่าคาด คาดนักลงทุนถือรอดูผลการดำเนินงานหรือเข้าเก็งกำไรเป็นรายตัว KBANK / KTB คาดงบ 3Q57 เติบโต yoy และ qoq เด่น
     •กลุ่มพลังงานแนวโน้มทยอยสะสมจาก Valuation ที่ถูกเมื่อเทียบกับกลุ่มหลักอื่นๆ
     •กลุ่มพลังงานทางเลือก เด่น หลัง กพช.อนุมัติโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน อีก 27 โครงการ รวม 202.09 MW
      •กลุ่มท่องเที่ยว หลัง ครม.อนุมัติให้มีการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจนถึง 31 ธ.ค. 2558 จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ เป็นบวกต่อกลุ่มโรงแรม / สายการบินต้นทุนต่ำ / สนามบิน
ขณะที่ปัจจัยภายนอกขาดความโดดเด่น คาดนักลงทุนทั่วโลกต่างรอดูรายงาน Beige Book ของเฟดคืนนี้ เพื่อประเมินความเห็นของเฟดในการประชุมวันที่ 28-29 ต.ค.ต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หลังสิ้นสุดโครงการ QE ในการประชุมนัดนี้
      ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วง 1-2 สัปดาห์จากนี้ เรายังคงแนะนำให้เป็น “Swing Trade คือ ขึ้นแรงขาย และลงแรงซื้อ” หุ้นขนาดกลางที่มีประเด็นการลงทุนเชิงบวกเฉพาะ
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “ทยอยสะสม” AAV / KTB
Portfolio Top Pick in 4Q14: BEUATY / IFEC/ LPN/ PTT/ VGI
HOLD: SAMART/ SPCG/ IFEC/ BTS/ SIM/ CK/ LPN/ VGI/ PTT/ KTB
Accumulative Buy: AAV/ KTB

Action and Stock of the Day
SET INDEX ฟื้นตัวแต่ยังไม่ผ่าน 1,550 จุด

SET INDEX วันนี้คาดแกว่งขึ้นทดสนอบ 1,555-1,560 จุด วอลุ่มการซื้อขายเบาบางต่อเนื่อง
คาดกลุ่มธนาคาร / พลังงาน ทรงตัว ช่วยปิด Downside risk ของ SET INDEX
หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง อย่าง BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในระลอกของการดีดตัวช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน Swing Trade ตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ปิดบวก – ลบ สลับกันไปในแต่ละตลาด เนื่องจากปัจจัยการลงทุนยังขาดความโดดเด่นทั้งในเอเชีย และยุโรป
สำหรับตลาดหุ้นไทย เปิดฟื้นตัว ผลักดันด้วยหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร อย่าง BBL / KTB รวมถึง AOT / PTTGC ส่งผลให้ภาพการลงทุนดีขึ้นจาก 2 วันทำการก่อนหน้า อีกทั้งงบ TMB ออกมาดีกว่าคาด เปิดประเด็นการเก็งกำไรต่อหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร ส่งผลให้ SET INDEX แกว่ง 1,550 จุด +/- ปิด ณ สิ้นวัน SET INDEX บวกเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ 4.43 จุด มาอยู่ที่ 1,546.78 จุด มูลค่าการซื้อขายเพียง 36,278 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกเด่นสุดได้แก่ กลุ่ม Professional +6.78%, กลุ่มเหมืองแร่ +1.90% และกลุ่มปิโตรเคมี +1.43% ส่วนกลุ่มหลักกลุ่มธนาคาร +0.33%, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง +0.34% และกลุ่มพลังงาน +0.51%

ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.26 น.) เช้านี้ Nikkei –Kospi เปิดบวกเล็กน้อยถึงปานกลาง พร้อมกับ DJIA Futures ที่บวก 62 จุด เอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ MBKET คงมุมมองเป็น “กลาง” เป็นวันที่ 14 ด้วยกรอบแกว่ง SET INDEX ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ระหว่าง 1,520-1,570 จุด และมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางต่อเนื่อง เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน อีกทั้งนักลงทุนทั่วโลกต่างรอดูผลการประชุมเฟดในวันที่ 28-29 ต.ค. เพื่อติดตามมุมมองต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในกลางปีหน้าจะปรับขึ้นได้หรือไม่
และหากประเมินจากจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก เป็น “กลางถึงลบ” หรือเข้าโหมด “กลัว (Fear)” ต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นประเทศที่พัฒนาแล้ว (DM) ขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 4Q56 ที่ผ่านมา ด้วยการคาดหวังถึงเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ตัวเลขเศรษฐกิจในอียู / ญี่ปุ่น ณ ปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เริ่มเสียโมเมนตัมการเติบโต ทำให้นักลงทุนเน้นการขายเพื่อ Lock-in Profit และปิดความเสี่ยงในช่วงสั้น ด้วยการโยกเงินออกจากตลาดหุ้นใน DM และเข้าพักในตลาดตราสารหนี้ และทองคำ เพื่อปิดความเสี่ยงดังกล่าว ขณะที่พื้นฐานเศรษฐกิจในตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะเอเชีย ยังรักษาโมเมนตัมได้ดี พร้อมกับความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ Valuation ของตลาดหุ้น EM อยู่ในโซนแพง ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง เท่านั้น
ดังนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับมาทรงตัว / ตั้งฐานได้ ขึ้นอยู่กับ
•ธนาคารกลางสำคัญของโลกเพิ่มมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
oECB อาจตัดสินใจเพิ่มประเภทของการเข้าซื้อสินทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงพันธบัตรรัฐบาลของประเทศสมาชิก เหมือนที่เคยเข้าซื้อในปี 2554 และประสบความสำเร็จในการเรียกความเชื่อมั่นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
oBoJ อาจส่งสัญญาณ เพิ่มวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น และตราสารหนี้ของเอกชน
oFED ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง หรือ ยาวนานมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณเสี่ยงต่อการเติบโตต่ำมากขึ้น รวมถึงค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ
•ตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ / จีน / อียู เริ่มทรงตัวถึงดีกว่าที่ตลาดคาด อาจทำให้นักลงทุนทั่วโลก คลายความกังวล แต่ล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเยอรมัน กลับหดตัวลงสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์อีกครั้ง
•ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นแต่ละแห่ง ออกมาดีกว่าคาดเป็นส่วนใหญ่ ให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเข้าสู่เทศกาลประกาศงบการเงินตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับตลาดหุ้นไทย MBKET ให้น้ำหนักกับผลการดำเนินงาน 3Q57 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งทยอยประกาศตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. และหุ้นหลักในกลุ่มธนาคารจะประกาศในวันที่ 17 และ 21 ต.ค. เป็นประเด็นที่นักลงทุน โดยเฉพาะกองทุนทั้งในและต่างประเทศให้ความสนใจ เพราะ
•หากงบกลุ่มธนาคารออกมาใกล้เคียงหรือดีกว่าที่ตลาดคาด เชื่อว่าแรงขายหุ้นหลักเริ่มลดลง และอาจกลับมาเพิ่มน้ำหนักเป็นรายหลักทรัพย์ได้
•แต่หาก งบออกมาแย่กว่าคาด เชื่อว่าจะเกิดแรงขายลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นหลักกลุ่มธนาคารต่อเนื่อง แต่จะเป็นสัดส่วนที่ชะลอตัวมากขึ้น เพื่อปิดความเสี่ยงช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำ “นักลงทุนพิจารณา ขึ้นแรงขาย – ลงแรงซื้อ” เพื่อปิดความเสี่ยงในช่วงที่ทิศทางการลงทุนไม่ชัดเจน ความผันผวนอยู่ในระดับสูง
สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว หรือระยะเวลาการลงทุน 3 เดือนขึ้นไป ทีมกลยุทธ์ MBKET แนะนำให้ “ทยอยสะสม” เมื่อ SET INDEX เกิดการย่อตัวต่ำกว่าระดับ 1,540 จุด หุ้นที่มีประเด็นการลงทุนเด่น พร้อมกับแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินงานที่เด่นกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มอุตฯ เดียวกัน เป็นทางเลือกของการลงทุน หาก ราคาหุ้นเกิดการปรับฐานลงระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย หุ้น Top Pick : BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI ขณะที่หุ้นที่มีผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ที่ช่วยปิด downside risk ของราคาหุ้นได้แก่ BTS / TRUEIF สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ

ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.คาดกลุ่มธนาคารจะทรงตัวถึงขยับขึ้นเก็งกำไรต่องบ 3Q57: วานนี้ TMB รายงาน 3Q57 ทำกำไรสุทธิได้ถึง 2.4 พันล้านบาท เติบโต 28% yoy แต่ลดลง 7% qoq ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์อย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วย 2.2 พันล้านบาท
MBKET เชื่อว่าสถาบันทั้งในและต่างประเทศจะถือหุ้นหลักในกลุ่มธนาคาร เพื่อรอดูผลการดำเนินงาน หลังลดน้ำหนักการลงทุนไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ แต่อาจเห็นแรงเก็งกำไรรายตัว หากราคาตลาดเปิดโอกาส MBKET ให้น้ำหนักกับ KBANK / KTB ที่คาดกำไร 3Q57 เติบโตเด่น yoy และ qoq
•วันที่ 17 ต.ค. BAY / BBL / KBANK / SCB / TCAP
•วันที่ 21 ต.ค. KTB
2.กลุ่มหลักอื่นๆ มีประเด็นเชิงบวกเช่นกัน
•กลุ่มพลังงาน ทางเลือก วานนี้ กพช. อนุมัติรับซื้อไฟฟ้าโครงการพลังงานหมุนเวียร 27 โครงการ รวม 202.09 MW สร้างประเด็นเก็งกำไรต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก
•กลุ่มท่องเที่ยว / โรงแรม / สนามบิน / สายการบินต้นทุนต่ำ หลัง ครม.อนุมัติให้การใช้จ่ายภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศ นำมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกิน 15,000 บาท ซึ่งจะมีผลจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2558
3.เงินทุนวิ่งเข้าพักใน Safe haven: เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในอียู โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมันออกมาส่งสัญญาณชะลอโมเมนตัมมากขึ้น กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการลงทุนในตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว (DM) ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า
•เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว อย่าง สหรัฐ / ยุโรป
•เงินทุนไหลเข้าพักใน Safe haven อย่าง พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ วานนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี แตะระดับ 2.955% เป็นครั้งแรกที่ผลตอบแทนต่ำกว่า 3.0% นับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2556 รวมถึงทองคำที่ราคาพักฐานมานาน และเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้
•ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงแรง จากแนวโน้มความต้องการบริโภคน้ำมันที่อาจไม่เติบโตอย่างที่คาด ขณะที่กลุ่มโอเปค อย่างซาอุดิอาราเบีย และคูเวต คงกำลังการผลิตน้ำมันเช่นเดิม กลายเป็นปัจจัยบวกด้านพื้นฐานแก่เศรษฐกิจในเอเชียที่แนวโน้มเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับต่ำ
MBKET ความเห็นเป็นบวกต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนในช่วงสั้นนี้ เพราะหลังภาพรวมของนโยบายการเงินทั้งของเฟด – ECB – BoJ ในปลายเดือนถึงต้นเดือนหน้า รวมถึงจับตาการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนวันที่ 20-23 ต.ค. จะทำให้เงินทุนไหลกลับเข้าตลาดหุ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นในเอเชียเกิดใหม่ที่น่าจะได้อานิสงค์ในรอบนี้
4.เช้านี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อจีน: เดือนก.ย.
•Bloomberg consensus คาด 1.7% yoy จากเดือนก่อนหน้า 2.0% yoy
5.คืนนี้ติดตามรายงาน Beige Book: เฟด 12 เขต จะรายงานภาพรวมเศรษฐกิจ / การจ้างงาน / ภาคอสังหาฯ ในแต่ละเขต เพื่อนำไปประเมินภาพรวมและกำหนดเป็นนโยบายการเงิน ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 28-29 ต.ค.นี้

วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 15.70 13.47 15.64 13.42
PSE 19.53 16.87 19.55 16.88
JSE 15.85 13.53 15.80 13.49
KOSPI 9.86 n.a 9.83 8.56
T
IEX 13.83 12.71 13.77 12.60
Straits Time 14.08 12.98 14.12 13.01
SHCOMP 9.36 8.26 9.38 8.29
ที่มา: Bloomberg

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ทยอยสะสม” ได้แก่
1.AAV : ราคาปิด 4.36 บาท ราคาเหมาะสม 5.20 บาท
a)MBKET คาดว่าหุ้นกลุ่มสายบิน Low Cost Airline จะตอบรับเชิงบวก หลังวานนี้ ครม.อนุมัติมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านโรงแรมมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีผลบังคับใช้ถีงวันที่ 31 ธ.ค. 2558
b)ดังนั้น เราคาดว่า AAV จะได้ประโยชน์โดยตรง เนื่องจากมีส่วนแบ่งตลาดการบินในประเทศสูงเป็นอันดับ 1 จึงคาดว่า Loading Factor จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 4Q57
c)คาดผลประกอบการ 3Q57 จะพลิกเป็นกำไร จากขาดทุนสุทธิใน 2Q57 และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง -4.5% dod เหลือ US$81.84/barrel และลดลง 10.2% QTD ใน 4Q57 จะส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง
d)คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2558 ที่ 1,671 ล้านบาท +240% yoy เติบโตสูงที่สุดในกลุ่มสายการบิน และราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ระดับ PBV 2558 เพียง 0.79 เท่า
2.KTB : ราคาปิด 23.50 บาท ราคาเหมาะสม 27.00 บาท
a)คาดกำไรสุทธิ 3Q57 เติบโต +3% yoy และ +22% qoq เป็น 9.2 พันล้านบาท จากสินเชื่อ 3Q57 ที่กลับมาขยายตัว +8% yoy ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ NIM ทรงตัวที่ 2.88% จาก 2Q57 ที่ 2.90% ขณะที่การตั้งสำรองคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติเหลือ 2.7 พันล้านบาทใน 3Q57 จาก 2Q57 ที่ 5.3 พันล้านบาท
b)ทิศทางสินเชื่อ 4Q57 จะเติบโตสูง และคาดว่าจะทำใกล้เคียงกับเป้าหมายทั้งปีของผู้บริหารที่ 6-8% (9M57 เติบโต +6.3% YTD) จากแรงหนุนของการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ เนื่องจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
c)คาดกำไรสุทธิปี 2558 เติบโต +12.9% yoy เป็น 38,054 ล้านบาท และมี Valuation ที่ยังไม่สูงมากนัก โดยซื้อขายระดับ PBV 2558 ที่ 1.3 เท่า ต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น KBANK 1.9x, SCB 1.9x และ BAY 2.0x
d)ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีราวปีละ 4% และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง จึงโดดเด่นกว่าหุ้นธนาคารอื่นในกลุ่ม ที่มีการจ่ายเงินปันผล 1H57 ไปแล้ว

What will DJIA move tonight? คืนนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ ยอดค้าปลีก, ยอดสต็อคภาคธุรกิจ และรายงาน Beige Book

Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติวานนี้ขายสุทธิเป็นวันที่ 3 อีก US$337 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ US$144 ล้าน
ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดเดียวที่ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX -88.3 -281.4 10,247.9 9,188.0
KOSPI -277.7 n.a 6,222.1 4,875.1
JSE -40.1 -48.8 3,824.1 -1,806.4
PSE -25.6 -24.7 1,039.7 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม -1.4 -12.5 191.8 263.2
SET INDEX 7.7 -57.8 -211.3 -6,210.5

Foreign Investors Action วานนี้
เงินทุนต่างชาติชะลอตัว
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) +250 -1,875
SET50 Index Futures (สัญญา) -764 -5,247
SSF (สัญญา) +421 +4,045
Metal Futures (สัญญา) +230 -177
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) -2,643 +453

นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เพียง 250 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าขายสุทธิ 2,935 ล้านบาท ส่งผลให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ ขายสุทธิลดลงเล็กน้อยเป้น 8,628 ล้านบาท
แต่คงการ Short สุทธิใน SET50 Index Futures เป็นวันที่ 3 เพียง 764 สัญญา รวม 3 วันทำการ Short สุทธิ 7,059 สัญญา เมื่อ S50Z14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็น 5.72 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เพียง 2.16 จุด
และตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 2,643 ล้านบาท เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 8,273 ล้านบาท เมื่อราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุ 10 ปี ผลตอบแทนลดลงอีก 1.27bps ปิดที่ 3.40%

Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ขยับขึ้นเป็น 1,296 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 664 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
PTT 172.07 9.30% 354.27
KBANK 126.47 10.03% 224.76
ADVANC 76.12 7.45% 225.55
SCC 69.44 24.90% 432.40
SCB 65.70 8.84% 177.37

NVDR กลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง แต่เป็นการปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลักเท่านั้น
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้กลับมาซื้อสุทธิเพียง 48 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 680 ล้านบาท เป็นการปรับน้ำหนักระหว่างกลุ่มหลัก โดยกลุ่มธนาคารยังคงเป็นเป้าหมายหลักของการลดน้ำหนักต่อเนื่อง ภาพรวมการลงทุนผ่าน NVDR สรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มพลังงานถูกขายสุทธิสูงสุด 244 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคารขายสุทธิ 202 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 462 ล้านบาท และกลุ่มค้าปลีก ขายสุทธิ 103 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 272 ล้านบาท
2.ส่วนกลุ่ม ICT ถูกกลับมาซื้อสุทธิสูงสุด 335 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 149 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอาหารซื้อสุทธิ 222 ล้านบาท และกลุ่มโรงพยาบาลซื้อสุทธิ 63 ล้านบาท

ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
ADVANC 207.30 29.68 SCB -152.13 13.05
TUF 194.27 31.08 PTTEP -132.33 15.02
INTUCH 183.34 20.78 BANPU -118.97 17.92
SCC 66.26 20.44 DELTA -89.83 35.54
TOP 63.52 19.47 BBL -88.24 6.37


Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!