WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

ซื้อค่าบวก...ไม่ผ่าน&ยืนเหนือ 1560 ขายก่อน
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
       ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อ โดยปิด +8.64 จุด ที่ 1556.53 ปัจจัยหนุน คือ การซื้อเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 3/57 และแนวโน้ม รวมถึงคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ขณะเดียวกันค่าความผันผวน (VIX S&P 500) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดหุ้นสหรัฐก็อ่อนลงเป็นประมาณ 16% (จากสูงสุดที่ 26% ในสัปดาห์ก่อนหน้า) นักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงเดินหน้าซื้อสุทธิต่อ 2.3 พันล้านบาท ซึ่งไปช่วยชดเชยแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และทำให้ตลาดสามารถยืนบวกได้อยู่

       ส่วนวันนี้ ยังจับตาผลประชุม FOMC กันว่าเฟดจะมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเพิ่มเติมหรือไม่ และจะประกาศยุติโครงการ QE3 อย่างที่ตลาดประเมินหรือไม่ สำหรับในประเทศมีตัวเลขส่งออกเดือนก.ย.ที่พลิกเป็นเติบโต 3.19%YoY โดยมาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าการส่งออกในไตรมาส 4/57 จะขยายตัวจำกัด เพราะฐานส่งออกเดือนต.ค.56 ค่อนข้างสูง ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อตามค่าบวก และถ้า SET Index ไม่สามารถผ่าน+ยืนเหนือ 1560 ได้ ก็ขายทำกำไรไปก่อน แต่ถ้ายืนเหนือได้ก็ถือลุ้นระดับ 1570-1580 ต่อ หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น BTS

       การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดในระยะสั้นมากเป็นบวกเล็กๆ โดยมีพื้นที่แนวต้าน 1560, 1570 การอ่อนตัวของ SET ต่ำกว่า 1540 ดูไม่ดี ควรStop loss หรือลดพอร์ตตาม เพราะมีสิทธิลงไปทำ New Low ที่ 1510 (+/-10 จุด) ดังนั้นในการเข้าซื้อใหม่จึงเน้นซื้อตามด้วยค่าบวก โดยถ้าผ่านขึ้นไปยืนเหนือ 1560 ได้ให้ถือลุ้นต่อที่ 1570-1580

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ
      + สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต.ค.พุ่งขึ้นสู่ 94.5 (สูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 50) และเพิ่มจากเดือนก.ย.ที่ 89.0 ซึ่งตลาดให้น้ำหนักมากกว่าการอ่อนตัวลงของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย.ที่ -1.3%MoM

      • สหรัฐ : จับตาผลประชุม FOMC ซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันพุธที่ 29 ต.ค.โดยคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะประกาศยุติโครงการซื้อสินทรัพย์ หรือ QE3และติดตามว่าเฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

       • ญี่ปุ่น : BOJ ไม่มีกำหนดเส้นตาย QE โดยมีเป้าหมายผลักดันเงินเฟ้อ 2% ภายในปีงบประมาณ 58 (เม.ย.58-พ.ค.59) สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทางผู้ว่าการ BOJ มองว่าฟื้นตัวในระดับปานกลาง ภาคธุรกิจและครัวเรือนปรับตัวได้ดีขึ้นหลังการขึ้นภาษีขายเมื่อต้นเม.ย.57

     + ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นกว่า 1% (DJIA +187.81 จุด, NASDAQ
+78.36 จุด และ S&P500 +23.42 จุด) สะท้อนถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัวสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี

     +/• สัญญาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อย โดย WTI ส่งมอบธ.ค.+42 เซนต์ปิดที่ 81.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT +20 เซนต์ ปิดที่ 86.03ดอลลาร์/บาร์เรล
• สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบธ.ค.เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ0.01% ปิดที่ 1229.4 ดอลลาร์/ออนซ์

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
     + ไทย : ส่งออกเดือนก.ย.พลิกเป็นเติบโต มูลค่าส่งออกในเดือนก.ย.+3.19%YoY เป็น 19,913 ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้า +14.42%YoY มูลค่า21,771 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล 1,798 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วน 9M57 มูลค่าส่งออก -0.85%YoY มูลค่านำเข้า -10.00%YoYขาดดุลการค้า 1,517 ล้านเหรียญสหรัฐ

ความเห็น DBS RetailResearch : เป็นพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ต้องดูความต่อเนื่องอีกระยะหนึ่งเพราะมูลค่าส่งออกต.ค.56 เป็นฐานที่สูง ทำให้ส่งออกต.ค.57 อาจกลับมาติดลบอีกรอบ ทั้งนี้กลุ่มที่หนุนให้ส่งออกก.ย.เติบโตได้ คือ กลุ่มสินค้าเกษตร & อุตสาหกรรมเกษตร (+2.8%) นำโดย ข้าว, มันสำปะหลัง, ไก่สด, น้ำตาล แต่ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังติดลบ (-0.4%)

• ไทย : การปฎิรูปพลังงาน นายกรัฐมนตรีให้สปช.ด้านพลังงานหาแนวทางปฎิรูปพลังงานมาเสนอภายใน 2 เดือน และให้ก.พลังงานชี้แจงเรื่องเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในขณะนี้อย่างไรก็ตาม เห็นว่าประเด็นนี้ยังไม่กระทบต่อการลงทุนมากนัก เพราะน้ำหนักหลักที่มีผลต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานช่วงนี้ คือ ราคาน้ำมันดิบ ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ซบเซา รวมถึงกำลังการผลิตโรงกลั่นใหม่ที่จะเข้ามาอีก 800kbd ใน 1Q58 ที่จะกดดันค่าการกลั่นให้อยู่ระดับต่ำต่อในปี58 ในเชิงกลยุทธ์ทยอยซื้อจังหวะราคาอ่อนตัวเพื่อลงทุนกลาง-ยาว

• แผนกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ธ.ค.57 ควรเน้นเรื่องลงทุน ทั้งนี้เนื่องจากสัดส่วนหนี้สินภาคครัวเรือนของไทยสูงถึง 84% ของ GDP จึงไม่ควรกระตุ้นให้เกิดการก่อหนี้เพื่อบริโภคเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ต่ำเพียง 60% ทำให้การลงทุนใหม่ภาคเอกชนจะโตได้ไม่มาก ดังนั้นการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐจึงต้องเป็นหัวหอกในการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 58 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของกลุ่ม SME ที่เป็น Supply Chain ดีขึ้นตามไปด้วย หุ้นพื้นฐานเด่นในDBS Coverage ที่ได้รับประโยชน์เป็น KTB, KBANK, CK, STEC, SCC

+ TRUEIF เซ็นสัญญาให้ DTAC เช่าเสาสัญญาณ 115 เสา และ DTACคาดว่าจะเช่าเสาจาก TRUEIF เพิ่มขึ้นอีกในปี 58 โดยประเมินว่ามีกองทุนฯมีเสาที่ตรงกับความต้องการของ DTAC อยู่ประมาณ 500 เสาจาก 3,000เสาที่กลุ่ม TRUE จะส่งมอบให้กับ TRUEIF ภายในสิ้นปี 57 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 6,000 เสาในปลายปี 58

ความเห็น DBS Retail Research :นับเป็น Win-Win Solution กับทั้ง DTAC และ TRUEIF โดยกองทุนก็มีการกระจายความเสี่ยงทางธรุกิจมากขึ้น (จากเดิมพึ่งพาผู้เช่าเพียงรายเดียวคือ TRUE) ขณะที่ DTAC ใช้งบประมาณลงทุนสร้างเสาน้อยลง รวมทั้งขยายบริการเครือข่าย 3G ได้ครอบคลุมและรวดเร็วมากขึ้น กองทุน TRUEIFเตรียมจ่ายปันผลสำหรับ 3Q57 ที่ 0.2603 บาท/หน่วย (0.2313 บาท มาจากกำไร และอีก 0.029 บาทเป็นเงินสดสำรองคืนจากการที่ค่าใช้จ่ายกองทุนต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้) คิดเป็น Dividend Yield เฉพาะไตรมาสนี้ 2.5% กำหนด XD 5 พ.ย.57 ชำระเงิน 24 พ.ย.57 เราชอบ TRUEIF ที่จ่ายปันผลสูง โดยนักวิเคราะห์ใน Consensus คาดการณ์ Dividend Yieldปี 57 ไว้ที่ 8.7% และปี 58 ไว้ที่ 8.4% (จ่ายทุกไตรมาส)

• IFEC สรุปเพิ่มทุนให้พันธมิตรเดือนพ.ย.นี้ ทั้งนี้บริษัทเพิ่มทุนไม่เกิน545.04 ล้านหุ้น โดยเป็น PP 300 ล้านหุ้น @ 6 บาท ซึ่งคาดว่าจะจัดสรรให้กับพันธมิตรที่มี Synergies กับบริษัท (มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์) โดยหลังเพิ่มทุนเสร็จแล้วก็จะเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยต่างประเทศที่เล็งไว้คือ กัมพูชา, มาเลเซีย ทั้งนี้ในส่วนของกัมพูชามีเริ่มมีความเป็นรูปธรรมด้วยการซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าแล้ว และบริษัทมีโอกาสที่จะทำโรงไฟฟ้าขยะในพนมเปญ ประเทศกัมพูชาด้วย ส่วนในประเทศก็สนใจที่จะลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังลม 3 เฟส ขนาด 90 MWทางด้านผลประกอบการ คาดว่าใน 2H57 จะเริ่มมีกำไร โดยหลักมาจากการขายสินทรัพย์ในธุรกิจเดิม ส่วนในปี 58 จะมีกำไรจากโรงไฟฟ้า เบื้องต้นคาดไว้ที่ 400 ล้านบาท (จากกำลังการผลิต ณ สิ้นปี 57 ที่ 40 MW) ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E (Fully Diluted) ปี 58 ที่ 33 เท่า เชิงกลยุทธ์ เน้นซื้ออ่อนตัว

+ TTA เดินหน้าลงทุนต่อ ล่าสุดบริษัทย่อยคือ เมอร์เมด ได้เพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในซับเทค ซาอุดิอาระเบียจาก 70% เป็น 95% โดยก่อนหน้าก็เข้าซื้อSINO GRANDNESS (ธุรกิจอาหาร&เครื่องดื่มในจีน) 9% และกำลังเจรจาซื้อกิจการอีก 1-2 แห่ง ด้านธุรกิจเรือมีกำไรหลังอัตราค่าระวางขึ้นไปสูงกว่าระดับคุ้มทุนของบริษัทประมาณ 20-30% ใน 1Q58 จะนำ PMTA (ธุรกิจปุ๋ยในเวียดนาม) เข้าจดทะเบียนใน SET แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 24.50 บาท

นักกลยุทธ์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค - arparporns@th.dbsvickers.com 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!