WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
  (+) ตลาดหุ้นต่างประเทศ : DJIA +39.81, NASDAQ +19.08, S&P +6.34, FTSE +44.01, CAC +32.93 และ DAX +60.04 โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยหุ้นในกลุ่มขนส่งและสุขภาพ โดยหุ้นกลุ่มสายการบินปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงมาอยู่ในระดับต่ำ โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ (WTI) ลดลงมาอยู่ที่ 77 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ต้นทุนของสายการบินต่างๆ ลดลง ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวการควบรวมกิจการทั้งในธุรกิจน้ำมัน โทรคมนาคมและอาหาร
  ….ราคาปิดน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. -US$1.25 ปิดที่ US$77.40 ต่อบาร์เรล จากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ประกอบกับการประชุมของกลุ่มโอเปกในวันที่ 27 พ.ย.นี้ ยังไม่มีการส่งสัญญาณว่าจะมีการลดปริมาณการผลิตน้ำมัน ในขณะที่มีปัจจัยหนุนราคาน้ำมันจากประเด็นความรุนแรงในลิเบียซึ่งทวีความรุนแรงขึ้น
  ....ทางด้านราคาทองคำ ส่งมอบเดือน ธ.ค. -US$10.0 ต่อออนซ์ ปิดที่ US$1,159.8 ต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้ความน่าสนใจในการลงทุนทองคำลดลง
  (+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +823 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ต้นปี -14,805 ล้านบาท (สิ้นปี’56 มียอดขายสุทธิสะสม 193,911 ลบ)

 

ทิศทางตลาด
  ทิศทางตลาด : คาดดัชนียังคงมีแนวโน้มแกว่งตัวแต่มีโอกาสรีบาวน์ตามตลาดต่างประเทศ? หลังจากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากประกาศตัวเลขอัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ที่ 5.8% ต่ำสุดในรอบ 6 ปี ในขณะที่ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงมาอยู่ที่ 79 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ต่ำสุดในรอบ 4 ปี อาจจะกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงาน
  ....ด้านปัจจัยในประเทศ ยังไม่มีประเด็นใหม่ โดยนักลงทุนยังคงจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ว่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 4Q/57 ต่อเนื่องถึงปี 58 ได้มากน้อยแค่ไหน โดยล่าสุดรัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านความร่วมมือกับหอการค้าต่างประเทศ พร้อมเสนอแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาจจะมีการเปิดกว้างให้ต่างชาติเข้าร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
  .....โดยยังแนะติดตามความชัดเจนเกี่ยวกับวงเงินลงทุนกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะเวลา 8 ปี (ปี’ 58 – 65) ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะสรุปในเดือน พ.ย. หลัง (21/10/57) ครม. อนุมัติแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ในปี ’58 – ’65 เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า การขยายถนน และการขยายสนามบินฯ เป็นต้น เพื่อช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มศักยภาพของประเทศ ให้รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งคาดกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับผลดีต่อเนื่องในระยะยาว
  ....รวมถึงประเด็นการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่คาดยังเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หลังมีการยื่นซองประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว เส้นทางหมอชิต – คูคต เมื่อ 30/9/57 ซึ่งมีผู้ยื่นซองทั้งหมด 4 ราย (ITD, CK, STEC และ UNIQ) คาดใช้ระยะเวลา 1 – 3 เดือน ทราบผลการประมูล คาดอย่างเร็วคาดสามารถลงนามสัญญาและเริ่มก่อสร้างในช่วง 1H/58
  ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.05 อยู่ที่ 2.36% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) และดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.45 อยู่ที่ 12.67

หุ้นแนะนำ : PTT
ประเด็นที่ต้องติดตาม (11-14 พย.’57)
11/11/57 : ไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ
12/11/57 : สหรัฐฯเปิดเผยตัวเลจสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือน ก.ย.
13/11/57 : (1) จีน เปิดเผย ตัวเลขค้าปลีก - ตค. (2) สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
14/11/57 : (1) ยุโรป เปิดเผย GDP 3Q14 และ CPI-ต.ค. (2) สหรัฐฯ เปิดเผย ตัวเลขค้าปลีก – ต.ค.

หุ้นแนะนำ
  PTT : ราคาเป้าหมาย (ปี’57) เท่ากับ 380 บาท (ยังไม่รวมการปรับโครงสร้างราคาพลังงานในอนาคต)
  PTT มีนโยบายที่จะขายเงินลงทุนในบริษัทลูกทั้ง BCP และ SPRC เพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงการใหม่และเป็นการสร้างผลตอบแทนในอนาคต
  เล็งแยกธุรกิจค้าปลีกออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ หวังนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กิจการ
  PTT จะได้รับประโยชน์จากการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน โดยในกรณีของการปรับราคา NGV ซึ่งคาดว่าหากปรับขึ้นเพื่อสะท้อนราคาต้นทุนของ PTT ที่ 15.50 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบันที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม จะช่วยลดผลขาดทุนจากธุรกิจ NGV ที่ปัจจุบันมีผลขาดทุนประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี และจะเป็นการส่งเสริมให้ PTT ขยายสถายีบริการเพิ่มมากขึ้น
  ส่วนกรณีการปรับราคาก๊าซ LPG หน้าโรงแยก ซึ่งปัจจุบันถูกกดราคาไว้ที่ 333 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน หากสามารถปรับราคาขึ้นได้อีก 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน คาดว่าจะส่งผลต่อกำไรของ PTT ประมาณ 5,000 ล้านบาท
  คาดผลการดำเนินงานในช่วง 3Q/57 จะมีกำไรสุทธิ 23,790 ล้านบาท ลดลง 22% qoq และ 23% yoy โดยผลการดำเนินงานของ PTTEP ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ ในขณะที่บริษัทร่วมในกลุ่มโรงกลั่นค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่มีขาดทุนจากสต็อกน้ำมันจำนวนมาก ในขณะที่กำไรจากธุรกิจก๊าซของ PTT ยังคงแข็งแกร่ง
  แนะนำ “ซื้อลงทุน”

นักวิเคราะห์ :
ศักดิ์นรินทร์ ศศานนท์, 02-684-8789 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!