WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

“ซื้อเมื่อยืนเหนือ SMA10 วัน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
      ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์ตลาดหุ้นไทยทรงตัวโดยปิดที่ 1575.88 ทั้งนี้นักลงทุนชะลอการซื้อขายเพื่อรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการควบคุมหุ้นร้อนของทางการ โดยจะมีการหารือเรื่องมาตรการในวันที่ 19 พ.ย.นี้ นอกจากนั้นราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงต่อเนื่องฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย นักลงทุนสถาบันในประเทศนำซื้อสุทธิ 1.1 พันล้านบาท ส่วนต่างชาติและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิเพียงเล็กน้อย ด้านรายย่อยขายสุทธิ 1.4 พันล้านบาทสัปดาห์นี้นักลงทุนยังจับตามาตรการคุมหุ้นร้อน และรายงาน GDP ไตรมาส 3/57 ของไทย รวมถึงการปรับตัวเลขประมาณการ GDP ปี 57-58 ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะลดลงจากเดิม แต่ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนประเมินไว้บ้างแล้ว เพียงแต่รอดูว่าตัวเลขใหม่จะออกมาต่ำมากหรือไม่ ส่วนรายงานผลประกอบการ3Q57 ขณะนี้ออกมาเกือบหมดแล้วและมี Sell on Fact ในหุ้นบางตัว เราประเมินว่าระยะสั้นมากตลาดอาจผันผวน แต่ยังไม่น่าจะอ่อนตัวลงแรง เพราะความหวังว่าเศรษฐกิจและกำไรบจ.จะเริ่มฟื้นตัวได้ตั้งแต่ 4Q57 และในปี 58 ช่วยพยุงไว้ หุ้นพื้นฐานแนะนำในวันนี้เป็น MINT

      การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดในระยะสั้นมากพลิกเป็นลบเล็กๆ การซื้อใหม่จึงยังควรเป็น Follow Buy ด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ค่อยดี เพราะมีสิทธิอ่อนตัวลงต่อไปยังแนวเด้ง 1550, 1540 แต่ถ้ายืนเหนือ SMA10 ได้ก็ลุ้นถือต่อ หุ้นที่มีสัญญาณบวกทางเทคนิคและมีโอกาสทำ New high ที่ยังอยู่ใน List คือ PTG, GENCO, ADVANC, GUNKUL, BCP, UIC หุ้นที่เข้ามาใหม่ เป็น MK, SCB, CEI, SAWAD, ITD หุ้นที่หลุด List ได้แก่ PTG ส่วนหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit คือ –ไม่มี-

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ
• ญี่ปุ่น : คาดธนาคารกลาง (BOJ) จะคงนโยบายการเงินไว้ในการประชุม 18-19 พ.ย.นี้ หลังจากได้ผ่อนคลายเพิ่มเติมเมื่อ 31 ต.ค.ทีผ่านมา

•/- ยูโรโซน : เศรษฐกิจ 3Q57 ยังซบเซา โดยมีรายงานว่า GDP ไตรมาส 3/57 ขยายตัว 0.2%QoQ ส่วนของ EU เพิ่มขึ้น 0.3%QoQ นับว่าเศรษฐกิจยุโรปยังอ่อนแอและฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่เยอรมนีซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซนยังลังเลาที่จะใช้นโยบายการคลัง เพราะไม่ต้องการให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น แม้ว่ากลุ่ม G20 จะเรียกร้องให้พิจารณามาตรการในส่วนนี้เพิ่มเติม ทางด้าน ECB กำลังพิจารณาว่าอาจซื้อพันธบัตรรัฐบาลถ้าอัตราเงินเฟ้อยังต่ำต่อเนื่อง

+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.3%MoM ในต.ค. ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%

+สหรัฐ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นแตะที่ระดับ 89.4 สูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.50และสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด

• ตลาดหุ้นสหรัฐ : การซื้อขายในวันศุกร์ซบเซา แม้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่เป็นบวก แต่นักลงทุนลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้น หลังจากที่ดัชนีทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ปิดตลาDJIA +0.1% ส่วน NASDAQ +0.18% และ S&P500 +0.02%

+ สัญญาน้ำมันดิบรีบาวด์ โดย WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.+1.61 ดอลลาร์หรือ +2.2% ปิดที่ 75.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT +1.92 ดอลลาร์หรือ +2.5% ปิดที่ 79.41 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ การคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปกจะลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงเพื่อหนุนราคา อย่างไรก็ตามมีบางกระแสประเมินว่าถ้าลดจะไม่มากเพราะสหรัฐอาจเร่งผลิตน้ำมันจากหินดินดานเข้ามาแทน จับตาการประชุมกลุ่มโอเปกวันที่ 27 พ.ย.นี้

+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ดีดขึ้น สัญญาส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 24.1 ดอลลาร์ หรือ +2.07% ปิดที่ 1,185.6 ดอลลาร์/ออนซ์

ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
• ธปท.แนะรัฐบาลว่าไม่ควรทำงบประมาณขาดดุลเกิน 2% ของGDP ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลต้องมีการกู้ยืมด้วยการออกพันธบัตรมาจ่ายคืนในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งมีผลขาดทุนหลายแสนล้านบาทแต่ก็ไม่ควรทำงบประมาณการขาดดุลมากเกินไป เพราะฐานภาษียังขยายได้ไม่มาก

• คาดทางการไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% ไปอีกระยะหนึ่ง หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์วันนี้ (17 พ.ย.57) ระบุว่าดร.ประสาร ผู้ว่าการธปท.ได้กล่าวย้ำว่าขณะนี้ทางธปท.ใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินอยู่แล้วและจับตาหนี้สินภาคครัวเรือนอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงทั้งในทางการเพิ่มขึ้นและปรับลงสำหรับ DBS ประมาณการว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะทรงตัวที่2.00% ไปถึงอย่างน้อยกลางปี 2558 ทั้งนี้ขึ้นกับการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อโดยเฉพาะที่เกิดขึ้นจากราคาพลังงาน (มีการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซ LPGและ NGV)

+ รัฐบาลเริ่มจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรชาวสวนยางพาราตั้งแต่ 15พ.ย.57 โดยจะจ่ายไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 15 ไร่ หรือไม่เกิน15,000 บาท/ครัวเรือน

• WHA ประกาศทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์หุ้น HEMRAJ ที่ราคาหุ้นละ4.50 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อสิ้นสุดระยะเวลารับซื้อแล้วต้องมีผู้มาทำเทนเดอร์น ไม่น้อยกว่า 50% ของทุนเรียกชำระแล้ว ทั้งนี้ WHA ได้ทำ MOU เพื่อเข้าซื้อหุ้น HEMRAJ จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (รวมถึงกลุ่มหอรุ่งเรือง) ในสัดส่วน 22.53% ที่ราคาหุ้นละ 4.50 บาท โดย WHA จะเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมไม่เกิน 8.8 พันล้านบาท + กู้เงินเพื่อใช้ในการเข้าซื้อครั้งนี้ โดยการเพิ่มทุนและการเข้าซื้อหุ้น HEMRAJ ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นก่อน...ราคาหุ้น HEMRAJ ปรับขึ้นมารับข่าวไปล่วงหน้าแล้ว โดยราคาปิดวันศุกร์ (4.44 บาท) ต่ำกว่าราคาเทนเดอร์ฯ เพียง 1.3% เท่านั้น

• LHBANK : หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นวันนี้ (17 พ.ย.57) ระบุว่ากลุ่ม CPจะส่งผิงอันเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อใช้ LHBANK เป็นฐานในการปล่อยกู้ให้กับบริษัทในเครือ

+ SVI : มีแผนเริ่มผลิตที่โรงงานแจ้งวัฒนะ และปรับปรุงโรงงานที่ 2ขึ้นมาผลิตแทน แต่ยังไม่สามารถกำหนดวันเริ่มผลิตใหม่ได้ สำหรับมูลค่าความเสียหายทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยในเบื้องต้นเราคาดว่าจะเสียหายมากกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ทำประกันไว้ทั้งความเสียหายจากเพลิงไหม้และการชะงักงันทางธุรกิจ แต่บริษัทจะต้องจ่ายค่าซ่อมแซมต่างๆ ออกไปก่อน แล้วค่อยรับค่าเคลมประกันเข้ามาในภายหลังผนวกกับรายได้จากการขายชะลอตัวในช่วงที่ไม่ได้ผลิต หรือผลิตได้ไม่เต็มที่ซึ่งส่วนนี้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดในการดำเนินงานของบริษัท ระยะสั้นยังแนะนำ Underperform

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 arparporns@th.dbsvickers.com

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!