WORLD7

BANPU2024

smed PIONEER 720x100

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน
       ราคาน้ำมันอ่อนตัวต่อ กดดันหุ้นใหญ่ (กลุ่ม PTT) และมาตรการสกัดการเก็งกำไรหุ้นเล็ก ทำให้ SET อ่อนตัว ยังแนะหุ้นได้ประโยชน์ภาครัฐ ยังชื่นชอบ SAMTEL (FV@B27), AIT(FV@53B) และหุ้นเข้า SET50-100 วันนี้เลือก AIT(FV@B53) Top pick เพราะ Laggard และมี P/E ต่ำ Div Yield สูง

เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในยุโรป การกระตุ้นรอบใหม่อาจเลื่อนเป็นปีหน้า
     งินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วที่ยังเผชิญกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างล่าช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินเฟ้อในสหภาพยุโรปล่าสุด เดือน พ.ย. ต่ำเพียง 0.3%yoy (ชะลอตัวต่อเนื่องและต่ำสุดในรอบ 5 ปี) เชื่อว่านอกจากปัญหาในประเทศแล้ว ยังมีผลทางด้านราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรวดเร็วถึง 2.5%yoy และหากพิจารณาเป็นรายประเทศพบว่า สเปน -0.4% และติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 อิตาลี อยู่ที่ 0.2% ทรงตัวใกล้ 0% ติดต่อกันราว 6 เดือน และเยอรมัน 0.6% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่อัตราการว่างงาน เดือน ต.ค. ทรงตัว 11.5%yoy ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ประเทศที่มีอัตราการว่างงานสูงสุด คือ สเปน กรีซ และอิตาลี ตรงข้ามกับ เยอรมัน และออสเตรีย ที่มีอัตราการว่างงานน้อยสุด
     ประเด็นเรื่องเงินเฟ้อ แม้จะหนุนให้สหภาพยุโรป ยังคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป แต่คาดว่าการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2558 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของดัชนีเศรษฐกิจบางประการใน เยอรมัน และฝรั่งเศส ดังที่ได้นำเสนอใน Market Talk เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อีกทั้งล่าสุด นาง Sabine Lautenschlaeger (คณะกรรมการฯ 1 ใน 6 ท่านจากเยอรมัน) แสดงความเห็นว่า ต้องการเห็นผล หรือรอความคืบหน้าของการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ก่อนที่จะออกมาตรการเศรษฐกิจรอบใหม่ ซึ่งคาดว่าอาจจะต้องใช้เวลา อีกราว 3-5 เดือน ซึ่งต้องติดตามผลการประชุมของ ECB ในวันที่ 4 ธ.ค. นี้
        เช่นเดียวกับสหรัฐ คาดว่าการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดน่าจะเริ่มล่าช้าออกไป เพราะแม้จะเห็นเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของดัชนีเศรษฐกิจมาค่อยข้างต่อเนื่อง แต่ก็พบว่าระยะสั้น ๆ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจภาพครัวเรือนเดือน ต.ค. เริ่มชะลอตัว ได้แก่ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 8 เดือน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ขยายตัวเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าว และอัตราเงินเฟ้อที่ 1.7%YoY ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% อาจมีผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราว 2H58 คงต้องติดตามการประชุมครั้งสุดท้ายปี ระหว่าง 16-17 ธ.ค. นี้

ราคาน้ำมันตกต่ำ เอื้อสายการบิน แต่ราคาหุ้นได้ตอบรับแล้ว
     ราคาน้ำมันยังคงหลุดจาก 70 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากปัจจัยกดดันทางการปริมาณการผลิตส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นจากฝั่ง Non-Opec ขณะที่ฝั่ง Opec ก็ยืนยันที่จะคงกำลังการผลิตน้ำมันดิบที่วันละ 30 ล้านบาร์เรล เช่นเดิม ซึ่งแม้จะกดดันต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มผู้ผลิตและสำรวจปิโตรเลี่ยมขั้นต้น (PTT, PTTEP, BANPU, LANNA) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้กลับส่งผลดีต่อ ผู้ประกอบการสายการบิน ซึ่งมีต้นทุนหลักคือ น้ำมันสัดส่วน 30%-40% ของต้นทุนทั้งหมด แต่ผลประโยชน์จะได้รับมากน้อย ขึ้นกับนโยบายการป้องกันความเสี่ยงด้านต้นทุนน้ำมัน กล่าวคือ หากมีการทำป้องกันความเสี่ยงไว้น้อยก็น่าจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์ราคาน้ำมันขาลง เช่นกรณีของ AAV, NOK ซึ่งจากการตรวจสอบการงานงานจากงบการเงินและสอบถามผู้บริหารของสายการบิน พบว่ามีการทำการป้องกันความเสี่ยงไว้เพียง 20% ของปริมาณใช้น้ำมัน ขณะที่ THAI มีการป้องกันความเสี่ยงไว้มากถึง 70% ทำให้มีแนวโน้มได้ประโยชน์น้อยในสถานการณ์ปัจจุบัน
      หากพิจารณาจากสมมติฐานต้นทุนน้ำมันเครื่องบินที่ 115 เหรียญฯต่อบาร์เรล (เทียบเท่ากับสมมติฐานน้ำมันดิบดูไบ 90 เหรียญฯต่อบาร์เรล) การที่ราคาน้ำมันดิบลดลงจากสมมติฐานเดิมถึง 20 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในเบื้องต้นคาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรปี 2558 จากสมมติฐานเดิมให้กับ AAV เพิ่มขึ้นราว 412% หรือเพิ่มขึ้น 903 ล้านบาท เป็น 2,003 ล้านบาท (ภายใต้สมมติฐาน Loading factor 80.5% ในปี 2557 และ 83% 2558 ขณะที่จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 78%) และ THAI เพิ่มขึ้นราว 79% หรือ 5.0 พันล้านบาท เป็น 6,200 ล้านบาท (ภายใต้สมมติฐาน Loading factor 70% ในปี 2557 และ 72% 2558 ขณะที่จุดคุ้มทุนอยู่ที่ 70% กรณีน้ำมันลง) และจะหนุนมูลค่าพื้นฐานของ AAV และ THAI ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากเดิมหุ้นละ 4.95 และ 15.1 บาท เป็นหุ้น 5.2 และ 16.8 บาทต่อหุ้น (อิง PBV 1.2 และ 0.75 เท่า ตามลำดับ โดยใช้ PV Band เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่ยังมีความผันผวนในช่วงฟื้นตัว
  ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยแนะนำเก็งกำไร AAV(FV@B4.95) เนื่องจากราคาหุ้นได้ขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็วในวันศุกร์ ทำให้ราคาตลาดมี upside จำกัด คือราว 6% และ THAI(FV@B15.1) ราคาปิดวันศุกร์ ขึ้นมาตอบรับประเด็นบวกแล้ว จึงแนะนำ ขายทำกำไรระยะสั้น ขณะที่ NOK(FV@BN/A) แม้มีแนวโน้มได้ประโยชน์ก็จริง แต่การฟื้นตัวมีความเสี่ยงถูกบั่นทอนจากขาดทุนของบริษัทร่วม (ร่วมลงทุน 51% กับ สกู๊ตแอร์ ถือหุ้น 49% (บ.ลูกของสิงคโปร์แอร์ไลน์)) ให้บริการสายการบินระหว่างประเทศ “นกสกู๊ต”เริ่มให้บริการงวด 3Q57 (สายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งให้บริการปลายทางระยะไกล (เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี)) ซึ่งยังน่าจะมีผลขาดทุนอย่างน้อยในช่วง 1-2 ปีแรก ล่าสุด NOK มีมูลค่าทางบัญชี หุ้นละ 6 บาท เท่ากับราคาหุ้นซื้อขาย PBV เกือบ 2 เท่า ถือว่าแพง (9M57 ขาดทุน 491 ล้านบาท) จึงแนะนำขายเช่นกัน

ต่างชาติยังซื้อเบาบางเช่นเคย จากการขาดปัจจัยหนุน
วันศุกร์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 9 แต่ลดลงจากวันก่อนหน้า 54% เหลือราว 297 ล้านเหรียญฯ และเป็นการซื้อสุทธิในทุกประเทศ ทั้งนี้ประเทศที่ซื้อสุทธิสูงสุดคือไต้หวัน และ ติดต่อกันเป็นวันที่ 9 ราว 201 ล้านเหรียญฯ (ลดลง 14%) ขณะที่ประเทศที่เหลือ ซื้อสุทธิเบาบางคือ เกาหลีใต้ สลับมาซื้อสุทธิราว 48 ล้านเหรียญฯ ไทย ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 ราว 34 ล้านเหรียญฯ (1.1 พันล้านบาท, เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าตัวจากวันก่อนหน้า) ฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 แต่ลดลงถึง 97% เหลือราว 11 ล้านเหรียญฯ และสุดท้ายอินโดนีเซียที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 6 แต่ลดลงเช่นกัน ถึง 95% เหลือราว 2 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น
ทั้งนี้ แม้ว่าเงินจากต่างชาติยังคงไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่อง แต่กลับยังคงเบาบางในทุกประเทศ และหาก ECB เลื่อนการใช้มาตรการ QE ออกไป ตามที่ตลาดคาดการณ์ จะทำให้เม็ดเงินกระตุ้นตลาดใหม่ๆ จะเริ่มน้อยลง จึงทำให้เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติ น่าจะสลับซื้อขายรายวันด้วยปริมาณเบาบาง เนื่องจากใกล้วันเทศกาลหยุดยาว แต่ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนสถาบันที่มักจะซื้อสุทธิในช่วงเดือน ธ.ค. โดยเป็นการซื้อสุทธิถึง 4 จาก 5 ปีหลังสุด ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลจากกองทุน LTF

เลือก SPALI, DEMCO หุ้นเด่นเข้า SET50-SET100
ตามที่ฝ่ายวิจัยได้นำเสนอ บทวิเคราะห์เชิงปริมาณ “SET50-SET100 Plays” (เมื่อ 5 พ.ย. 2557) โดยคาดการณ์หุ้นที่จะเข้าคำนวณ SET50 และ SET100 ในงวด 6 เดือนแรกของปี 2558 โดยจะประกาศใช้ 1 ม.ค.–30 มิ.ย. 2558 พร้อมได้สรุปกลยุทธ์ โดยเลือก Top picks เลือก คือ SPALI (เข้า SET50) และเลือก DEMCO (เข้า SET100) เนื่องจากตามสถิติพบว่า หุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว หากซื้อก่อน 2 ก่อนเข้าคำนวณราว 1.5 เดือน และขายทำกำไรในวันเข้าคำนวณจะให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ กล่าวคือหุ้น SPALI มีความเป็นไปได้ถึง 75% ที่จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 8.1% ส่วน DEMCO แนะนำให้ขายทำกำไรหลังวันเข้าคำนวณ 1.5 เดือน โดยมีความเป็นไปได้ประมาณ 55% ที่จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 5.1%
และหลังจากเดือน พ.ย. ผ่านพ้นไป ขณะนี้ได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ ผลสรุปรายชื่อหุ้นที่เข้าคำนวณ SET50-SET100 พบว่าแตกต่างจากที่คาดการณ์ครั้งแรกน้อยมาก คือ
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET50 มี 4 บริษัท (ไม่เปลี่ยนแปลง) : CK, HEMRAJ, KTIS และ SPALI
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET50 (ไม่เปลี่ยนแปลง) : BAY, KKP, GLOBAL และ THCOM
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET100 มี 11 บริษัท (ลดลงที่คำนวณครั้งแรก 12 บริษัท) : KTIS, HANA, ICHI, SAWAD, SIM, ANAN, MAX, CGD, SGP, SAPPE และ DEMCO (GOLD อาจไม่เข้า SET100 จากที่คาดการณ์ไว้)
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET100 (ลดลงจาก 12 เหลือ 11 บริษัท) : BAY, DCC, ESSO, MCOT, NOK, NYT, RS, SRICHA, STA, TASCO และ THRE (LOXLEY อาจไม่หลุดจาก SET100 จากที่คาดการณ์ครั้งก่อน)
ทั้งนี้ พบว่าหุ้นที่ฝ่ายวิจัยเลือก นับจากวันที่แนะนำจนถึงปัจจุบัน ราคายังปรับขึ้นไปไม่สูงมากนัก คือ SPALI ขึ้นเพียง 2.86% ส่วน DEMCO ปรับขึ้น 6.06% รวมทั้งยังมี upside ยังเหลือค่อนข้างมาก (SPALI มี upside 18% และ DEMCO upside 20%) สวนทางกับหลายบริษัทที่มี upside จำกัด จึงยังคงเลือก SPALI และ DEMCO เป็น Top picks ของ SET50-SET100 Plays ดังเดิม โดยผู้ที่มีหุ้นยังคงแนะนำให้ถือต่อและขายทำกำไรตามกลยุทธ์ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นแนะนำให้ซื้อก่อนเข้าคำนวณ 1 เดือน และขายทำกำไร (หุ้นเข้า SET50 ขายวันเข้าคำนวณ หุ้นเข้า SET 100 ขายหลังวันเข้าคำนวณ 1.5 เดือน) จะมีความน่าจะเป็นถึง 70% และ 55% ตามลำดับ รวมทั้งผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 5.9% และ 4.5% ตามลำดับ (ติดตามอ่านรายงาน Quantitative Analysis ได้ในเช้าวันนี้)

กลยุทธ์ยังเลือกรายหุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาครัฐ : SAMTEL, AIT
ในสถานการณ์ที่มีการสกัดการเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก แนะนำให้มาเข้าหุ้นพื้นฐานที่ได้ประโยชน์จากการประมูลงานภาครัฐ ที่มีมูลค่างานไม่ใหญ่มาก แต่สามารถเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีงบประมาณ 2558 ที่เริ่มต้นในเดือน ต.ค. ที่น่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ ได้แก่ SAMTEL (FV@B27) และ AIT (FV@B53) นอกจากนี้หากพิจารณาสถิติในอดีตพบว่า หุ้นในกลุ่มนี้มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกในงวด และด้วยความน่าจะเป็นสูงเกิน 50% โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย และต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2558
SAMTEL (FV@B27) ผลประกอบการผ่านจุดตกต่ำไปแล้วใน 2Q57 และกำลังฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่งวด 4Q57 เป็นต้นไป ขณะที่จะเห็นการเติบโตกำไรปกติปีหน้าสูงมากเป็นลำดับต้นๆ ของกลุ่ม ICT ที่ 37% จากฐานต่ำในปีนี้ ปัจจัยหนุน คือ Backlog สิ้นปีที่จะสูงเฉียด 9 พันล้านบาท (รองรับการรับรู้เป้าหมายรายได้ในปี 2558 ที่ 1.0 หมื่นล้านบาท (เติบโต 27.4%) แล้วในสัดส่วน 52%) บวกกับ งานใหม่ๆ ที่จะออกสู่ตลาดสูงขึ้น (มาจากงานใหม่ที่กลับสู่ระดับปกติจากการเมืองมีเสถียรภาพ รวมถึงเป็นงานที่ลงทุนเพื่อสนองนโยบายเศรษฐกิจ ดิจิทัล) ทั้งนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 18% และมีค่า PER ปี 58 ราว 14 เท่า (VS กลุ่ม ICT ที่ 20.6 เท่า) ขณะที่คาดหวัง Div Yield เกิน 3.5%
AIT (FV@B53) คาดว่าผลประกอบการงวด 4Q57 จะฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน แม้ยอด Backlog สิ้นปีนี้ มีแนวโน้มต่ำกว่าสมมติฐานที่ฝ่ายวิจัยกำหนดเล็กน้อย แต่จะได้รับการชดเชยจากงานประมูลโครงการใหม่ที่เพิ่มตามภาวะอุตสาหกรรมสดใส (มีงานที่อยู่ระหว่างประมูล 985 ล้านบาท และรอการเปิดประมูลอีก 8 พันล้านบาท) คาดว่าปีนี้กำไรจะเติบโต 25% และปีหน้าจะมีรายได้เพิ่มจากฐานลูกค้าภาครัฐที่จะเปิดประมูลงานมากขึ้นตามนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล หนุนกำไรโตราว 10.6% โดยราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside สูงถึง 41% มีค่า PER ปี 58 ต่ำเพียง 10 เท่า ขณะที่คาดหวัง Div Yield สูงถึง 5.4%

ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!