WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

PACE สรพจน เตชะไกรศรPACE ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ D&D 3.3 พันลบ.-มีแผนนำเข้าตลาดหุ้นสหรัฐใน 3 ปี

     นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ระบุว่ามีแผนนำ ดีน แอนด์ เดลูก้า (D&D) เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐใน 3 ปี โดยเชื่อว่าจะได้รับราคา IPO ที่สูง หลังจากได้ศึกษาและเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกัน

    สำหรับ ในปีนี้ ตั้งเป้ามีรายได้ของ D&D เป็น 3.3 พันล้านบาท โดยในไตรมาสแรกมีรายได้แล้ว 623 ล้านบาท และในไตรมาส 3/58 มีแผนจะเปิดสาขาในไทย แห่งที่ 5 ที่ เอ็มควอเทียร์ โดยตั้งเป้าจะมีสาขาในไทยทั้งสิ้น 25-30 สาขา และตั้งเป้าจะมีสาขา D&D  500 สาขาทั่วโลกใน 3-5 ปี

   ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมี Backlog ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทจาก 2 โครงการ คือ มหานคร และ นิมิตหลังสวน โดยมหานครจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 58 เป็นต้นไป โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ PACE จะใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขาของ D&D และอีกส่วนหนึ่งใช้เป็นเงินทุนในการก่อสร้างโครงการใหม่ๆ

    นอกจากนี้ มีแผนจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับ FA 2 ราย โดยเบื้องต้นคาดนำธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจโรงแรม เข้ามาเป็นสินทรัพย์ในกองทุน

   นายสรพจน์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าขยายสาขา D&D ครบ 500 สาขาทั่วโลกภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมี 44 สาขา สำหรับในประเทศญี่ปุ่นตั้งเป้าขยายปีละ 4-5 สาขา จากปัจจุบันมี 21 สาขา ซึ่งในอนาคตธุรกิจนี้จะเป็นการสร้างรายได้ต่อเนื่อง สำหรับการขยายสาขาทั่วโลกนั้นจะเน้นเปิดสาขาที่สหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่สุด ส่วนในไทยจะเปิดสาขาที่ 5 สิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้าที่ ดิ เอ็ม ควอเทียร์ และตั้งเป้าเปิด 2-3 สาขา/ปี เพื่อให้มีสาขาในไทยเพิ่มเป็น 25-30 สาขา เพราะตลาดในไทยมีศักยภาพที่จะเติบโต โดยการเปิดสาขาลำดับต่อไปนั้นขณะนี้กำลังเจรจาอยู่ 2-3 แห่ง อาจจะเป็นในห้างเซ็นทรัล ,ไอคอนสยาม และเอ็มโพเรียม ซึ่งจะยังคงเน้นที่ตลาดพรีเมียม

    สำหรับ  D&D ญี่ปุ่น ในปีนี้ได้เปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้น 3 สาขา และเน้นทำเลที่มีศักยภาพสูงตามเมืองสำคัญต่างๆ อาทิ ฟุกุโอกะ และ โอซาก้า ซึ่งเป็นแฟลกชิพสโตร์ขนาดใหญ่ พื้นที่ประมาณ 300-800 ตารางเมตร

   "มั่นใจว่า D&D จะช่วยส่งเสริมธุรกิจหลักของ PACE ทั้งด้านความสม่ำเสมอของรายได้ที่จะเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดปี รวมถึงภาพลักษณ์ไฮเอนด์ของแบรนด์ D&D ที่เกื้อหนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการให้บริการระดับไฮเอนด์ของ PACE อีกทั้งรายได้จากหลายประเทศทั่วโลกของ D&D ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการกระจายความเสี่ยงของบริษัทฯ ที่มีรายได้หลักจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเพียงอย่างเดียว"นายสรพจน์ กล่าว

   นายสรพจน์ กล่าวว่า สำหรับยอดขายรอโอน(backlog) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ของ PACE ปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท จาก 2 โครงการ คือ  มหานคร และนิมิต หลังสวน โดยโครงการมหานครจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากโครงการอสังหาริมทรัพย์ PACE จะใช้เป็นเงินลงทุนในการขยายสาขาของ D&D และอีกส่วนหนึ่งเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการก่อสร้างโครงการใหม่ๆ ซึ่งเชื่อว่าในระยะยาว สัดส่วนรายได้จาก D&D จะมีมูลค่ามากขึ้นกว่ารายได้จากอสังหาริมทรัพย์

   ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินสำหรับการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ไว้ 20% ของมูลค่าโครงการ โดยจะเริ่มจัดหาซื้อปลายปีนี้เพื่อที่จะพัฒนาโครงการต่อเนื่องหลังโครงการนิมิตรหลังสวนขายหมด เพื่อให้มีรายได้จากอสังหาฯในปีต่อไป โดยจะพยายามรักษารายได้จากธุรกิจอสังหาฯปีละ 1 หมื่นล้านบาทต่อเนื่อง ขณะที่คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ในปลายปีนี้อีก 1 โครงการ ซึ่งจะเน้นโลเคชั่น ดีไซน์ คุณภาพ

    "ขณะนี้ บริษัทฯ รอรับรู้รายได้จากยอด backlog มูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ของบริษัทฯ ในขณะเดียวกันรายได้ส่วนหนึ่งจะใช้เพื่อลงทุนขยายสาขา D&D อย่างต่อเนื่อง และจะเน้นรูปแบบสเปเชียลตี้ คาเฟ่ที่ทำได้ง่ายและให้ผลตอบแทนดี ซึ่ง D&D จะช่วยเสริมให้บริษัทมีการรับรู้รายได้อย่างมั่นคงต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้ที่ 3.3 พันล้านบาทในปลายปี 2558 และในระยะยาวคาดว่า D&D จะเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้หลักของบริษัทฯ ที่มีมูลค่าแซงหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์"นายสรพจน์ กล่าว

  นายสรพจน์ กล่าวว่า บริษัทฯอยู่ระหว่างศึกษาแผนจัดตั้ง REIT โดยอยู่ระหว่างหาที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันเจรจากับทางที่ปรึกษาทางการเงิน(FA) อยู่ 2 บริษัท เบื้องต้นจะนำธุรกิจค้าปลีกพื้นที่เช่า ธุรกิจโรงแรม และจุดชมวิวของโครงการมหานคร สกาย ออบเซอเวชั่น เด็ค(Sky Observation Deck) ขายเข้ากองทุน วัตถุประสงค์ของการตั้งกอง REIT เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ ขยายกิจการเพื่อให้มีเงินลงทุนต่อเนื่อง

       อินโฟเควสท์

PACE ตั้งเป้านำ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯภายใน 3 ปี เชื่อปี 61 รายได้แซงอสังหาฯ มีสาขา 500 แห่งทั่วโลก รักษายอดขายอสังหาฯปีละ 1 หมื่นลบ.

    "เพซ ดีเวลลอปเมนท์" ตั้งเป้านำ "ดีน แอนด์ เดลูก้า" เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯภายใน 3 ปี(61) เชื่อได้รับผลตอบแทนจากการทำ IPO สูง คาดขายหุ้น 10-30% พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาเป็น 500 แห่ง ภายใน 3-5 ปี ใช้เงินลงทุนรวม 6-7 พันล้านบาท มั่นใจปี 61 รายได้แซงธุรกิจอสังหาฯ ส่วนปีนี้รับรู้รายได้ 3.3 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจอสังหาฯตั้งเป้ารักษายอดขายปีละ 1 หมื่นลบ. เตรียมเปิดโครงการใหญ่มูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 พันลบ.ในปี 59 ยันไม่มีแผนเพิ่มทุนในระยะเวลาอันใกล้ เล็งตั้ง REIT 2 กองทุน นำเงินชำระหนี้-ขยายกิจการ

    นายสรพจน์ เตชะไกรศรี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ PACE กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้านำธุรกิจ"ดีน แอนด์ เดลูก้า"(D&D)เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯภายใน 3 ปี(61) โดยเชื่อว่าจะได้รับราคาไอพีโอสูง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว คู่แข่งน้อย ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค และมีข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกัน โดยเบื้องต้นคาดว่า PACE อาจขายหุ้น D&D ในสัดส่วน 10-30% ซึ่งบริษัทยังมีนโยบายถือหุ้นใหญ่เพื่อให้มีอำนาจในการบริหารงาน

    ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าขยายสาขา D&D ทั่วโลกเป็น 300-500 แห่ง ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จากปัจจุปันที่มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 43 สาขา คาดใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 6-7 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนหรือกู้เงินธนาคารมาลงทุนอีก เนื่องจากตั้งแต่ปี 58-61 บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาฯที่มีมูลค่ารวมกว่า 3.5 หมื่นล้านบาทเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้มีเงินลงทุนเพียงพอที่จะนำมาขยายสาขา D&D ในทุกปี นอกจากนี้ในอนาคตบริษัทตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ถึงระดับ 1,500-3,000 สาขา หรือคิดเป็นสัดส่วน 5-10% ของจำนวนสาขา"สตาร์บัคส์"ที่มีอยู่กว่า 3 หมื่นสาขาทั่วโลก

   "รูปแบบสาขา D&Dที่จะลงทุนส่วนใหญ่เน้นแบบ Cafe เพราะใช้เงินลงทุนต่ำเฉลี่ยสาขาละ 350,000-1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จะสร้างรายได้ได้ปีละ 1.5-3 ล้านเหรียญต่อสาขา และให้ EBITDA อยู่ที่12-15% ซึ่งจะใช้ระยะเวลาคืนทุนเพียง 3 ปี และให้ผลตอบแทนสูงกว่าธุรกิจอสังหาฯเมื่อใช้จำนวนเงินลงทุนเท่ากัน ซึ่งหากบริษัทสามารถขยายสาขาได้ตามเป้าหมายที่ 500 แห่ง จะทำให้รายได้จากธุรกิจ D&Dแซงหน้าธุรกิจอสังหาฯภายในปี 61 หรือหากขยายสาขาได้ 1,000 แห่งทั่วโลก ก็จะทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาทต่อปี "นายสรพจน์ กล่าว  

   สำหรับ การขยายสาขาของ D&D จะมี 2 รูปแบบ คือ 1.บริษัทลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสาขาในประเทศสหรัฐฯและประเทศไทย และ 2.ขยายสาขาโดยการจำหน่ายสิทธิ์(ไลเซนส์)ในการใช้แบรนด์ D&D ซึ่งปัจจุบันมีสาขาอยู่ใน 5 ประเทศ ประกอบด้วย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ คูเวต และฟิลิปปินส์ และบริษัทมีแผนขยายสาขาไปในแถบเอเซีย ออสเตรเลีย ยุโรป อเมริกากลางและใต้ โดยบริษัทจะคิดค่าธรรมเนียมในการใช้ไลเซนส์จากยอดขายของสาขา ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีสาขาที่ลงทุนเองจำนวน 34% ส่วนการจำหน่ายไลเซนส์อยู่ที่ 66% โดยคาดว่าในอนาคตสัดส่วนจะกลับมาใกล้เคียงกัน

    "เรามั่นใจว่า D&D จะช่วยส่งเสริมธุรกิจหลักของ PACE ทั้งความสม่ำเสมอของรายได้ที่จะเข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยเฉพาะในปีนี้ที่บริษัทจะรับรู้รายได้เข้ามากว่า 3.3 พันล้านบาท รวมถึงภาพลักษณ์ไฮเอนด์ของแบรนด์ D&D ที่จะช่วยเกื้อหนุนธุรกิจอสังหาฯและการให้บริการระดับไฮเอนด์ของ PACE อีกทั้งรายได้จากหลายประเทศทั่วโลกของ D&D จะช่วยเพิ่มโอกาสในการกระจายความเสี่ยงของบริษัทที่มีรายได้หลักจากอสังหาฯเพียงอย่างเดียว"นายสรพจน์ กล่าว

   ทั้งนี้ D&D เป็นแบรนด์ร้านอาหารที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดยจัดอยู่กึ่งกลางระหว่างธุรกิจฟาสต์ฟู้ดและธุรกิจร้านอาหารไฮเอนด์ ซึ่งเป็นเซ้กเม้นต์ที่ได้รับความนิยมสูงในต่างประเทศ ซึ่งตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตเร่งรีบ แต่มีความพิถีพิถันในการคัดเลือกสินค้าคุณภาพ จุดเด่นของ D&D คือเป็นแหล่งรวมอาหารและผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจากทุกมุมโลก และแบรนด์มีความแข็งแกร่งเป็นที่รู้จักมานานกว่า 38 ปี

    นายสรพจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาฯปัจจุบันบริษัทมีโครงการใหญ่ 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการมหานคร โครงการนิมิตหลังสวน และโครงการมหาสมุทรหัวหิน มูลค่ารวม 3.5 หมื่นล้านบาท แต่มียอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) 1.4 หมื่นล้านบาท โดยบางส่วนจะทยอยรับรู้ในปีนี้ และที่เหลือจะรับรู้ในปี 59-61 เฉลี่ยปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

    ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารักษายอดขายจากธุรกิจอสังหาฯที่เฉลี่ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะเริ่มลงทุนในธุรกิจอสังหาฯโครงการใหญ่อีกครั้งในปี 59 เพื่อให้ทันรับรู้รายได้ในปี 62 เป็นต้นไป ซึ่งจะเป็นอสังหาฯโครงการใหญ่มูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท และเน้นพัฒนาโครงการในเขตเมือง ทั้งกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาหาที่ดินและวางแผนพัฒนาโครงการ โดยบริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 2 พันล้านบาท

     "ธุรกิจอสังหาฯไฮเอนด์ยังคงมีความต้องการซื้อ แต่การตัดสินใจอาจไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อน เพราะผู้บริโภคกังวลสภาพเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดีการเปิด AEC ในระยะเวลาอันใกล้จะช่วยเพิ่มดีมานด์จากนักลงทุนต่างชาติ เพราะราคาและคุณภาพอสังหาฯระดับไฮเอนด์ของไทยยังมีความคุ้มค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้"นายสรพจน์ กล่าว

   นอกจากนี้บริษัทมีแผนจัดตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์(REIT)จำนวน 2 กองทุน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาแผนการจัดตั้งร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินถึงรูปแบบและมูลค่ากองทุน คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ โดยบริษัทจะนำธุรกิจค้าปลีก พื้นที่เช่าและจุดชมวิวของโครงการมหานคร รวมทั้งธุรกิจโรงแรม จำหน่ายเข้ากองทุน เพื่อระดมเงินมาชำระหนี้และขยายกิจการ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุน(D/E)ลดลง และมีเงินขยายธุรกิจต่อเนื่องหลายปีโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนจดทะเบียนและกู้เงินธนาคาร

 สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!