Details
Category: สภาอุตสาหกรรม
Published: Friday, 08 May 2020 21:47
Hits: 8527
อย่าลืม!...กดไลน์-แชร์กันด้วยนะครับ
กกร.หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เป็น ติดลบ 3-5% หลังคาด Q1/63 ติดลบ 5%
กกร.หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เป็น ติดลบ 3-5% จากเดิมคาดโต 1.5-2% คาด Q1/63 เสี่ยงติดลบกว่า 5% ฟากส่งออกปีนี้ติดลบ 5-10% ส่วนเงินเฟ้อคาดอยู่ที่ 0 ถึง -1.5% มองศก.โลกปี 63 เข้าภาวะถดถอย ส่วน CPTPP คาดได้ข้อสรุปใน 1 เดือน
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมกกร.ประจำเดือนพฤษภาคม มองเศรษฐกิจไทยหรือจีดีพีในปี 2563 จะติดลบในกรอบ 3-5% จากช่วงเดือนมีนาคมที่เคยคาดการณ์โต 1.5-2%
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวดีกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ( IMF) ประเมินว่าจะติดลบ 6-7% เนื่องจากภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ มีมาตรการเยียวยาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ทั้งนี้คาดว่าเร็วๆนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส1/63 ซึ่งคาดว่าน่าจะติดลบกว่า 5%
ด้านตัวเลขส่งออกปีนี้ยังคงคาดการณ์จากเดือนเมษายนว่าจะติดลบ 5-10% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ช่วง 0.0 ถึงติดลบ 1.5% โดยตัวเลขต่างๆ อยู่ภายใต้สมมติฐานที่ไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้านภาครัฐทยอยผ่อนปรนการดำเนินกิจการเพิ่มเติมตามลำดับ ซึ่งที่ประชุมกกร. มองว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้น หรือฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะหดตัวน้อยลงจากในช่วงครึ่งปีแรก
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 ของ กกร.
%YoY ปี 2562 ปี 2563(ณ มี.ค. 63) ปี 2563(ณ พ.ค. 63)
GDP 2.4 1.5-2.0 -5.0% ถึง -3.0%
ส่งออก -2.7 -2.0 ถึง 0.0 -10.0% ถึง -5.0%
เงินเฟ้อ 0.7 0.8-1.5 -1.5% ถึง 0.0%
สำหรับ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งในไทยและต่างประเทศ ฉุดเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก ระบุถึงการหดตัวลงของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแทบทุกด้าน มีเพียงการใช้จ่ายของผู้บริโภคในหมวดสินค้าไม่จำเป็นที่ยังขยายตัวได้
ด้านการส่งออกที่รวมทองคำค่อนข้างทรงตัว และเมื่อมองต่อไปในช่วงไตรมาสที่ 2 โดยเฉพาะผลกระทบจากโควิด-19 ที่รุนแรงในเดือนเมษายน เครื่องชี้เศรษฐกิจจะยิ่งสะท้อนภาพการหดตัวที่ลึกขึ้น จากผลกระทบที่ขยายเป็นวงกว้างทั้งในภาคบริการ ภาคการผลิต รวมทั้งการจ้างงานและกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งมาตรการของภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ มีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบได้ระดับหนึ่ง
ดังนั้น คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2563 ยังอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อเนื่องต่อการส่งออกและภาคการผลิตในไทย หลังเศรษฐกิจหลักในโลกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และหลายประเทศสถานการณ์ยังไม่ยุติ ส่วนประเทศไทยแม้สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จนภาครัฐทยอยผ่อนปรนให้กิจการบางประเภทกลับมาเปิดให้บริการ แต่อยู่ภายใต้แนวปฏิบัติที่ระมัดระวังโดยคงมาตรการ Social Distancing ไว้ ทำให้สภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การประกอบกิจการของภาคธุรกิจบนภาวะปกติใหม่ (New Normal) ยังเต็มไปด้วยความความท้าทาย
ส่วนประเด็นของข้อตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP กกร.มีความเห็นว่า ขอให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในเนื้อหา และจุดยืนในการเจรจาครั้งนี้ ว่าประเทศจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ในเรื่องใดบ้าง เพื่อจะได้เสนอข้อมูลให้ภาครัฐได้ทราบจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้นซึ่ง กกร. มีคณะทำงานที่มาจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่จะประชุมเพื่อหาข้อสรุปในประเด็นด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ CPTPP ภายใน 1 เดือน
นอกจากนี้กกร. ขอขอบคุณภาครัฐที่เห็นชอบตามข้อเสนอแล้ว 11 มาตรการ ทั้งด้านภาษี การเงิน แรงงาน สาธารณูปโภค ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ เพื่อเยี่ยวยาและฟื้นฟูภาคธุรกิจและอยู่ระหว่างดำเนินการ 11 มาตรการ สำหรับมาตรการที่เหลือ ทาง กกร. จะทำหนังสือถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เร่งรัดดำเนินการต่อไป นอกจากนี้กกร. ยังสนับสนุนให้ภาคเอกชนและผู้บริโภคช่วยซื้อสินค้าเกษตร ได้แก่ ผัก ผลไม้ต่างๆ
นอกจากนี้ นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังเปิดเผยว่า คาดภาครัฐบาลจะออกมาตรการปลอดล็อกดาวน์ทางเศรษฐกิจรอบ 2 ได้ในช่วง กลางเดือนพฤษภามคมนี้ ซึ่งน่าจะมีร้านค้าขนาดใหญ่ รวมถึงห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย และวันพรุ่งนี้(8พ.ค.63)กระทรวงสาธารณสุขจะเชิญผู้ประกอบการแต่ละสมาคม เพื่อหารือมาตรการต่างๆ เพื่อเป็นมาตรการในทั้งประเทศสามารถปฎิบัติตามได้
กกร. หั่น GDP ปี 63 เหลือ – 5.0 ถึง -3.0 % จากเดิม 1.5 ถึง 2.0 % ชงตั้งคณะทำงาน CPTPP ภาครัฐ-เอกชน หารือจุดยืนของประเทศ
คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อันประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้จัดการประชุม กกร. ประจำเดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) พร้อมด้วยนายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และผู้บริหารจาก 3 สถาบัน เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ณ ห้อง 802 ชั้น 8 สภาอุตสหกรรมฯ โดยภายหลังการประชุมได้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ดังนี้
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งในไทยและต่างประเทศ ฉุดเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรก บ่งชี้ถึงการหดตัวลงของแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในแทบทุกด้าน มีเพียงการใช้จ่ายของผู้บริโภคในหหมวดสินค้าจำเป็นที่ยังขยายตัวได้ ขณะที่การส่งออกที่รวมทองคำค่อนข้างทรงตัว และเมื่อมองต่อไปในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่สถานการณ์โควิด-19 ในเดือนเมษายนรุนแรงขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ เครื่องชี้เศรษฐกิจจะยิ่งสะท้อนภาพการหดตัวที่ลึกขึ้น จากผลกระทบที่ขยายเป็นวงกว้างทั้งในภาคบริการ ภาคการผลิต รวมทั้งการจ้างงานและกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งมาตรการของภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ มีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบได้ระดับหนึ่ง
ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 ในไทยเริ่มคลี่คลาย จนภาครัฐทยอยผ่อนปรนให้กิจการบางประเภทกลับมาเปิดให้บริการภายใต้แนวปฏิบัติที่ระมัดระวังโดยคงมาตรการ Social Distancing ไว้ อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การประกอบกิจการของภาคธุรกิจบนภาวะปกติใหม่ (New Normal) ยังเต็มไปด้วยความความท้าทาย ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจหลักในโลกล้วนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และหลายประเทศสถานการณ์ยังไม่ยุติ ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะถดถอยในปี 2563 ซึ่งจะเป็นแรงกดดันอย่างต่อเนื่องต่อการส่งออกและภาคการผลิตในไทย
ภายใต้สมมติฐานที่ไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่ทั้งในไทยและต่างประเทศ และภาครัฐทยอยผ่อนปรนการดำเนินกิจการเพิ่มเติมตามลำดับ ที่ประชุม กกร. มองว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจน่าจะค่อยๆ กลับมาดีขึ้นหรือฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด และทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะหดตัวน้อยลงจากในช่วงครึ่งปีแรก สำหรับทั้งปี 2563 กกร. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวในกรอบ -5.0% ถึง -3.0% ดีกว่าที่ IMF ประเมินไว้ว่าจะหดตัว -6.7% เนื่องจากภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ มีมาตรการเยียวยาที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะที่ กกร. คงคาดการณ์เมื่อเดือน เม.ย. ที่มองว่า การส่งออกในปี 2563 อาจจะหดตัว -10.0% ถึง -5.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ในกรอบ -1.5% ถึง 0.0%
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2563 ของ กกร.
%YoY
ปี 2562
ปี 2563
(ณ มี.ค. 63)
ปี 2563
(ณ พ . ค . 63)
GDP
2.4
1.5 -2. 0
-5.0% ถึง -3.0%
ส่งออก
-2.7
-2. 0 ถึง 0.0
-10.0% ถึง -5.0%
เงินเฟ้อ
0.7
0.8-1.5
-1.5% ถึง 0.0%
ในประเด็นของ CPTPP นั้น กกร. มีความเห็นว่า ขอให้ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในเนื้อหา และจุดยืนในการเจรจาครั้งนี้ ว่าประเทศจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ในเรื่องใดบ้าง เพื่อจะได้เสนอข้อมูลให้ภาครัฐได้ทราบจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ กกร. มีคณะทำงานที่มาจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่จะประชุมเพื่อหาข้อสรุปในประเด็นด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ CPTPP ภายใน 1 เดือน
ตามที่ทาง กกร. ได้นำเสนอมาตรการต่างๆ ทั้งด้านภาษี การเงิน แรงงาน สาธารณูปโภค ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ เพื่อเยี่ยวยาและฟื้นฟูภาคธุรกิจจากภัย COVID-19 จำนวน 34 มาตรการ ต้องขอบคุณภาครัฐที่เห็นชอบตามข้อเสนอ กกร. แล้ว 11 มาตรการ และอยู่ระหว่างดำเนินการ 11 มาตรการ สำหรับมาตรการที่เหลือ ทาง กกร. จะทำหนังสือถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เร่งรัดดำเนินการต่อไป
เพื่อเป็นการช่วยเกษตรไทย กกร. สนับสนุนให้ภาคเอกชนและผู้บริโภคช่วยซื้อสินค้าเกษตร ได้แก่ ผัก ผลไม้ต่างๆ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย