WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

  วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ปีที่ 24 ฉบับที่ 8782 ข่าวสดรายวัน


เค้นหุ้นส่วน ขยายผลสุดาทิพย์ 
โยงเอี่ยวคดีแอบอ้างฯ ประมูลสงเครื่องเสวย ไล่ออก-สอบวินัยพตอ. แฉปลอมคำสั่งผบ.ตร.

      บช.น.เตรียมออกหมายเรียก หุ้นส่วน ธุรกิจเครือข่ายนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล มาสอบกรณีแอบอ้างเบื้องสูงประมูลเครื่องเสวย ชุดตรวจสอบส่วยน้ำมันเถื่อน เรียกสอบพ.ต.อ.สังกัดตำรวจน้ำ หลังน้องเสี่ยโจ้มอบหลักฐานสำเนาโอนเงิน ส่วนการติดตามเสี่ยนิค ล่าสุดพบออกจากเขมร ไปที่ประเทศในเขตเชงเกนในยุโรป กองปราบฯชงออกหมายจับ พ.ต.ท. รอง ผกก.6 คนสนิทบิ๊กกิ๊ก หลังไม่มารายงานตัว ขาดราชการเกิน 15 วัน ไล่ออกพ.ต.อ.นักบิน ปลอมคำสั่งผบ.ตร.

      เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 13 ธ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานสอบสวนชุดตรวจสอบกรณีส่วยน้ำมันเถื่อน เตรียมเรียกนายตำรวจยศพ.ต.อ.สังกัดกองบังคับการตำรวจน้ำ บช.ก. มาสอบปากคำหลังนายณรงค์กรณ์ เจียรเสริมสิน อายุ 41 ปี หรือเสี่ยโจ น้องชายเสี่ยโจ้ หรือนายสหชัย เจียรเสริมสิน เดินทางมาร้องขอความเป็นธรรมให้พี่ชาย ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องตามที่กล่าวหา รวมทั้งนำหลักฐานสำเนาการโอนเงินของธนาคารแห่งหนึ่ง ลงวันที่ 21 พ.ย. 51 และ 23 ก.ย. 52 รวมทั้งสลิปเอทีเอ็ม ลงวันที่ 27 ม.ค. 55 รวมเป็นเงิน 110,000 บาท ที่อ้างว่าเสี่ยโจ้โอนเงินให้กับนายตำรวจคนดังกล่าว มาให้เจ้าหน้าที่เป็นหลักฐาน 

     ทั้งนี้ นายณรงค์กรณ์ยื่นหนังสือร้องเรียนอ้างว่าเสี่ยโจ้พี่ชายโอนเงินให้ตำรวจนายนี้ เนื่องจากโดนข่มขู่กรรโชกเอาทรัพย์สิน และพี่ชายถูกยัดข้อหาเกี่ยวข้องน้ำมันเถื่อน เนื่องจากตำรวจจับเรือประมงที่มีการดัดแปลงถังบรรจุน้ำมัน โดยระบุว่าเสี่ยโจ้มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิด แต่จนถึงปัจจุบันเสี่ยโจ้ยังไม่ได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาค้าน้ำมันเถื่อนแต่อย่างใด ขณะที่การตรวจค้นเรือประมง ดังกล่าว มีการยึดเงินจำนวน 7 กล่อง มีนายตำรวจยศพ.ต.อ. ซึ่งขณะนั้นมียศเป็นพ.ต.ท. นำไปจำนวน 1 กล่อง เพื่อนำเงินไปวิ่งเต้นเครือข่ายอดีตผบช.ก. ให้ช่วยเลื่อนตำแหน่ง ทั้งนี้เงินที่เสี่ยโจ้โอนให้พ.ต.อ.คนดังกล่าว เป็นเพียงส่วนหนึ่งเพื่อให้พ้นจากการถูกขู่และกลั่นแกล้งธุรกิจของครอบครัว ที่ประกอบธุรกิจค้าไม้แปรรูปจากลาวไปจ.ปัตตานี 

     รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ พนักงานสอบสวนเตรียมสอบปากคำพ.ต.อ. คนดังกล่าว เกี่ยวกับเงินที่โอนให้เข้าบัญชีที่ปรากฏชื่อตามหลักฐานเอกสารว่า เป็นเงินเกี่ยวกับอะไรและได้รับเงินจริงหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบเอกสารการโอนเงิน ที่มีการกดออกจากธนาคารแห่งหนึ่งในห้างโลตัส สาขาบางแค เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหากผิดจริงก็จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

     ทางด้านนายณรงค์กรณ์ กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบข่าวและได้รับการติดต่อจากนายสหชัย พี่ชายของตนเองเลย ขณะนี้ยังทำได้แค่รออย่างร้อนใจ ว่าเมื่อไหร่พี่ชายจะติดต่อกลับมา แต่หลังจากที่สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าวไป ทำให้ชาวประมงหลายคนเข้ามาให้กำลังใจ ทั้งนี้ตนยืนยันว่าหากมีชาวประมงในพื้นที่ขอความช่วยเหลือเรื่องลักษณะ ดังกล่าว ก็จะเป็นสื่อกลางนำเรื่องส่งให้พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) รับเรื่องราวร้องทุกข์ ดังกล่าวด้วย 

      ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากที่นำเรื่องไปร้องเรียนที่บช.น.แล้วมีใครมาข่มขู่หรือไม่ นายณรงค์กรณ์กล่าวว่า ไม่มีใครมาข่มขู่แต่อย่างใด มีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักหลายนายมาช่วยให้กำลังใจ ถามว่ากลัวหรือไม่ ก็ยังกลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายอยู่ แต่การกระทำของนายตำรวจยศพ.ต.อ.คนนั้น ทำให้ชาวประมงที่ถูกเรียกเก็บเงินหลายรายได้รับความลำบาก ถึงแม้ว่าตัวจะถูกช่วยราชการ แต่ก็ยังมีกลุ่มที่เป็นเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้หากพนักงานสอบสวน บช.น. ที่ได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ จะเชิญตัวไปสอบปาก คำ ตนก็พร้อมยินดีที่จะเข้าให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ต่อไป

     ด้านพล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามจับกุมนายปรีชา ดาราไตร อายุ 45 ปี นักธุรกิจนำเข้าและขายรถมือสอง นายไพเชษฐ์ เมธีสริยพงศ์ อายุ 45 ปี เจ้าของอู่รถเมล์ร่วมสาย 8 และนายนพพร ศุภพิพัฒน์ อายุ 43 ปี หรือเสี่ยนิค มหาเศรษฐีหมื่นล้าน ผู้ต้องหาตามความผิดตามมาตรา 112 ที่ยังหลบหนีคดีว่า ขณะนี้ ยังไม่มีผู้ต้องหารายใดติดต่อเข้ามอบตัว แต่ชุดสืบสวน บก.สส. กก.สส.บก.น.5 และฝ่ายสืบสวนสน.พระโขนง และสน.วัดพระยาไกร อยู่ระหว่างสืบสวนจับกุมผู้ต้องหา ส่วนสำนวนทั้ง 2 คดี ท้องที่สน.วัดพระยาไกรและสน.พระโขนง ที่ส่งไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบสำนวนนั้น ยังไม่มีการแจ้งให้สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ซึ่งหลังจากตรวจสอบสำนวนเรียบร้อยแล้ว คณะพนักงานสอบสวน ตร. จะแจ้งให้ทราบ โดยจะมีการประชุมกันอีกครั้งก่อนส่งสำนวนให้อัยการต่อไป

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามแกะรอยผู้ต้องหา 3 ราย ข้อมูลล่าสุดทราบว่านายนพพร ได้หลบหนีออกจากประเทศกัมพูชา ไปกบดานอยู่ในยุโรปโดยอยู่ในประเทศในเขตเชงเกน ส่วนนายปรีชาหลบหนีออกไปทางด่านชายแดน จ.เชียงราย สำหรับนายไพเชษฐ์เชื่อว่ายังกบดานเงียบอยู่ในประเทศ ก่อนหน้านี้มีญาตินายไพรเชษฐ์ติดต่อตำรวจเข้ามอบตัว และขอยื่นเงื่อนไขว่าจะขอประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน แต่ปรากฏว่าไม่มามอบตัว เนื่องจากคดีความผิดตามมาตรา 112 ในชั้นพนักงานสอบสวนไม่สามารถประกันตัวได้

      ส่วนความคืบหน้าคดีจับกุมนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้ต้องหาความผิดมาตรา 112 ซึ่งเป็นภรรยาของพ.ต.อ.โกวิทย์ ม่วงนวล อดีตผกก.ตม.สมุทรสาคร เป็นหลานสาวของพล.ต.ท. พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ เป็นแม่ของนายสิทธิศักดิ์ สุวะดี และยังเป็นพี่สาวของนายณรงค์ สุวะดี และนายณัฐพล สุวะดี 3 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมคดีแอบอ้างเบื้องสูง มีรายงานว่า พนักงานสอบสวนจะตรวจสอบสำนวนคดีอย่างละเอียด ก่อนออกหมายเรียกน.ส.ปาลิดา หลักเฉลิมพร ผู้ร่วมธุรกิจกับผู้ต้องหากรณีแอบอ้างเบื้องสูงจนได้การประมูลกิจการขายผักต้ม ผักลวกและน้ำพริกต่างๆ ส่งวังศุโขทัยและพระที่นั่งอัมพรสถาน คาดว่าพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกน.ส.ปาลิดา ก่อนวันที่ 15 ธ.ค. โดยนัดหมายให้มาพบไม่เกินวันที่ 18 ธ.ค. ทั้งนี้พนักงานสอบสวน สน. สามเสน จะสอบปากคำข้อมูลเกี่ยวกับคดี พร้อมทั้งต้องตรวจสอบในประเด็นสถานะของน.ส.ปาลิดา ว่าเป็นผู้ร่วมลงทุนหรือลูกจ้างเท่านั้น และมีส่วนร่วมรู้เห็นในการแอบอ้างเบื้องสูง เพื่อให้ชนะการประมูล หรือไม่

      ทางด้านพ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี รองผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม ไม่มารายงานตัวตามหมายเรียก เพื่อให้ข้อมูลในฐานะพยาน เนื่องจากเป็นผู้ใกล้ชิดกับพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ว่าหลังครบกำหนด 15 วัน เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ยังไม่มารายงานตัว และไม่สามารถติดต่อได้ ถือว่ามีโทษผิดทางวินัยร้ายแรง ขาดราชการเกินกว่า 15 วัน ผู้กำกับการ 6 กองปราบปราม ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ได้ทำรายงานพร้อมหลักฐานการขาดราชการโดยไม่ทราบสาเหตุ เสนอตนเพื่อพิจารณาลงทัณฑ์แล้ว นอกจากนี้จะมีการทำหนังสือสรุป เสนอผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสอบสวน ให้ออกหมายจับพันพ.ต.ท.ทรงรักษ์ เรื่องขัดหมายเรียกด้วย

       ต่อมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีพ.ต.อ.เด่นชัย บุตรโพธิ์ศรี นักบิน (สบ 5) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ ปลอมแปลงเอกสาร หนังสือคำสั่งตั้งชุดเฉพาะกิจ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีผบ.ตร.ลงนามในคำสั่ง นำกำลังกว่า 10 นาย เข้าตรวจค้นสถานบริการชื่อธารทอง อาบอบนวดแผนโบราณ บริเวณแยกเหม่งจ๋าย (แยกประชาอุทิศ) ถ.รัชดานิเวศน์ แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง ในเขตพื้นที่ สน.ห้วยขวาง เมื่อกลางดึกวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา

      พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า เบื้องต้น พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และพบว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นเอกสารที่ถูกปลอมแปลงขึ้น ซึ่งทางผบ.ตร.ได้ยกเลิกชุดเฉพาะกิจทั่วประเทศไปแล้วก่อนหน้านี้ ล่าสุดผบ.ตร.สั่งกำชับให้ดำเนินคดีทั้งอาญาและวินัยโดยเด็ดขาด ทั้งนี้ได้สั่งการให้ สน. ห้วยขวาง ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุให้ดำเนินคดีอาญา ข้อหาปลอมแปลงเอกสารทางราชการ และกองบินตำรวจ ซึ่งเป็นต้นสังกัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน

      ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30 น. คืนวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา พ.ต.อ. บรรลือศักดิ์ แสงสว่าง ผกก.สน.ห้วยขวาง รับแจ้งว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดเฉพาะกิจของ ผบ.ตร จำนวนกว่า 10 นาย เข้าตรวจค้นสถานบริการชื่อธารทอง อาบอบนวดแผนโบราณ บริเวณแยกเหม่งจ๋าย (หรือแยกประชาอุทิศ) ถ.รัชดานิเวศน์ แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง ในเขตพื้นที่ สน.ห้วยขวาง โดยอ้างกับเจ้าของสถานบริการว่า ขอเข้าตรวจแรงงานต่างด้าวเนื่องจากได้รับการร้องเรียนมา จึงนำกำลังไปตรวจสอบ 

      เมื่อไปถึงพบพ.ต.อ.เด่นชัย บุตรโพธิ์ศรี นักบิน (สบ 5) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจ แสดงตัวเป็นหน.ชุดโดยได้แสดงคำสั่งแต่งตั้งของตร. ที่ 702/2557 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจไปปฏิบัติราชการ โดยคำสั่งดังกล่าวระบุให้พ.ต.อ.เด่นชัย บุตรโพธิ์ศรี นักบิน (สบ 5) กลุ่มงานการบิน กองบินตำรวจปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ชุดที่ 15 ด้านการปราบปรามอบายมุข การค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป จนถึง 30 กันยายน 2558 สั่ง ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2557 ลงชื่อพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ชายดังกล่าวยื่นเอกสารให้กับทางพ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ แล้วก็ไม่ได้มีการตรวจค้นใดๆ และได้ขึ้นรถไปพร้อมกับลูกน้อง อีกร่วม 10 นาย

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสอบถาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยว่าในทางปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นชุดเฉพาะกิจ เมื่อเข้าไปตรวจสอบสถานบริการใด จะไม่มีการยื่นเอกสารให้กับทางสน.พื้นที่นั้น ทั้งนี้จากการตรวจสอบชุดที่อ้างว่าเป็นชุดเฉพาะกิจ ดังกล่าว พบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง แต่ตัวคำสั่งของ ผบ.ตร.ที่แต่งตั้งทางเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่ว่าเป็นของจริงหรือไม่ 

ขณะที่ พล.ต.ต.พงษ์พันธุ์ วรรณภักตร์ ผบก.น.1 เปิดเผยว่าได้รับรายงานเรื่องดังกล่าว โดยทราบว่าจากการตรวจค้นสถานบริการธารทองฯ ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด ส่วนคำสั่งดังกล่าวตนส่งต่อให้สำนักงานผบ.ตร. เป็นผู้ตรวจสอบว่าเป็นคำสั่งจริงหรือไม่ต่อไป

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!